หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก




บันทึก ณ อาคารบิลาล ม.อิสลามนานาชาติ มาเลเซีย


"อานี มีเรื่องสำคัญที่พ่อกับแม่จะคุยด้วย" นี้ถือเป็นมูกอดดีมะห์ ของการพูดคุยกันของคน 3 คน ในครอบครัวฉันในวันหนึ่ง

แม่นั่งนิ่งคอยสังเกตอากัปกริยาของฉัน โดยให้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน "อานี ทั้งพ่อและแม่ได้ตอบรับการสู่ขอจากชายคนหนึ่งสำหรับลูก"

"อะไรน่ะ !" ฉันอุทานอย่างไม่เชื่อหูตนเอง กับสิ่งที่พ่อได้พูดมา เพราะฉันยังไม่คิดถึงเรื่องการมีครอบครัวในเวลานี้ ฉันยังคำนึงถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตฉัน ที่ฉันต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ผ่านการศึกษาที่ฉันจะไม่ยอมให้สิ่งใดๆ มาเป็นอุปสรรคสำหรับความตั้งใจอันแน่วแน่ของฉันนี้ และแน่นอนการมีครอบครัวก็จะเป็นอุปสรรคสำคัญ ฉันจึงไม่คิดที่จะมีพันธะหรือภาระผูกมัดกับใครทั้งสิ้น

"ทำไมพ่อกับแม่ไม่คุยกับอานีก่อน ๆ ที่จะตกลงอะไร" ฉันเถียงกับพ่อ เพราะไม่พอใจกับการตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาใด ๆ กับฉัน ฉันคิดว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอนาคตและชีวิตของฉัน ๆ จะต้องร่วมตัดสินใจด้วย

พ่อนั่งนิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ถ้าพ่อกับแม่ปรึกษากับอานีก่อน เราก็รู้ว่าอานีจะตอบอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าอานี จะต้องตอบว่ายังไม่พร้อม ถ้าเช่นนี้แล้วเมื่อไรเล่า ที่อานีจะพร้อม อานีจะมีชีวิตอยู่เช่นนี้อีกนานแค่ไหน ?"

ฉันนิ่งเงียบ แล้วแม่ก็พูดต่อ "ในฐานะ ผู้ใหญ่ เราก็คาดหวังว่า ลูกซึ่งเรารักและหวงมากๆ นี้ จะต้องมีสามีที่พร้อมจะปกป้องและคุ้มครองชีวิตลูก"

"เราไม่ได้ต้องการจะปล่อยลูกและทิ้งภาระให้กับคนอื่น แต่ลูกต้องเข้าใจว่า นี้คือความรับผิดชอบของพ่อกับแม่ในการหาสามีที่ดีให้กับลูกสาวของตนเอง" เสียงของแม่เต็มไปด้วยความใส่ใจ แต่ฉันยังไม่ยอมเข้าใจและรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น

"อานี! " พ่อเรียกชื่อ ฉัน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากที่เห็นฉันนิ่งเงียบมานาน แล้วพูดว่า

"จงมั่นใจเถิดว่า การที่พ่อและแม่ต้องตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพื่อสิ่งดีๆ สำหรับตัวของอานี เราหวงอานีเหลือเกิน"

เมื่อไม่ เห็นปฏิกิริยาใดๆ จากฉัน แม่ก็พูดตัดบทออกไปว่า "นี้แหวนของ เขา จงสวมเถิดลูก" แม่วางกล่องกลมสีแดงเล็กๆ หน้าฉัน แล้วก็เดินออกไป

ชีวิตฉันในตอนนี้ เป็นไปด้วยความสับสนอลหม่าน หลากหลายคำถามเวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงของฉัน ถ้าฉันตอบตกลงตามการตัดสินใจของพ่อแม่ นั้นก็หมายถึงฉันต้องละทิ้งอนาคตและความฝันของฉันเอง แต่ถ้าฉันปฎิเสธิ ก็ต้องหมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำให้กับพ่อแม่ ผู้ซึ่งมีบุญคุณอย่างล้นเหลือต่อชีวิตฉัน ปราศจากท่านทั้งสอง ฉันคงไม่อาจจะมีชีวิตอย่างทุกวันนี้

ฉันตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน ภาวะทางจิตใจของฉันกำลังห้ำหั่นและต่อสู้กันเอง ฉันจะต้องเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก คือการปฎิเสธิการแต่งงาน หรือฉันจะต้องตามการตัดสินใจของพ่อแม่

ถ้าฉันเอาตัวเองเป็นหลัก นั้นก็หมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ช้ำใจกับฉัน ชีวิตฉันต่อไปจะมีบัรกัตอย่างไร ?

กาลเวลาผั่นผ่านไปหลายวัน กับห้วงคำนึงอันอยากที่จะได้บทสรุปที่ลงตัว... เป็นไปได้ อย่างไรกันที่ฉันจะตอบรับแต่งงานกับคนที่ฉันยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตามา ก่อน

การแต่งงานไม่ไช่การตอบโจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่มี สูตรสำเร็จตายตัวอยู่แล้ว เรื่องของชีวิตคู่ที่จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจกันระหว่างคนสองคนตลอดทั้ง ชีวิต ปราศจากความเข้าใจและการโอนอ่อนผ่อนปรนต่อกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งสองชีวิต สองจิตใจ จะมาหลอมรวมเป็นหนึ่งในฐานะสามีภรรยาได้

เรื่องของชีวิตครอบครัวหลายต่อ หลายคู่ที่ผ่านหูและผ่านตาฉันเป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบลงด้วยการแตกแยก ทั้งสองคนประคับประคองชีวิตคู่ได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น หลังจากนั้นครอบครัวก็ต้องล้มสลาย ประดุจเรือที่แล่นผ่านท้องทะเลลึก ต้องเผชิญกับภาวะอากาศและคลื่นลมที่แปรปรวน และในที่สุดเรือก็อับปางลง เศษชิ้นส่วนพังกระจายระเนระนาดปลิ่วว่อนตามแต่คลื่นลมจะพัดพาไป

และ ถ้ามีลูก ลูกก็ต้องเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ต้องผจญกับความทุกข์จากการพลัดพราก

"ยาอัลเลาะห์ โปรดช่วยฉันในการตัดสินใจครั้งสำคัญสำหรับชีวิตนี้ จงชี้แนะทางออกสำหรับชีวิตฉันด้วย ขอพระองค์จงอย่าให้ฉันต้องเดียวดายในการตัดสินใจเพื่ออนาคตของชีวิตนี้

โอ้ อัลเลาะห์ ชีวิตฉันในตอนนี้ต้องเผชิญกับความบีบคั้นอย่างสุดแสนทรมาน ระหว่างความต้องการของฉันเอง กับความประสงค์ของพ่อแม่

โอ้ อัลเลาะห์ โปรดชี้แนวทางให้กับฉันด้วย....""ป๊ะ ม๊ะ อานีได้ตัดสินใจแล้ว" นี้คือถ้อยคำแรกที่ฉันพูดกับพ่อแม่ หลังจากที่เงียบหายไปหลายวัน ในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พ่อกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ และแม่กำลังปักเสื้อ

พ่อ ถามว่า "ตัดสินใจอะไรหรือ ?" ทั้งพ่อและแม่ก็มองหน้ากัน

ฉันตอบไปว่า "ก็เรื่อง ผู้ชายที่พ่อกับแม่ ได้เลือกไว้"

ทั้งพ่อและแม่มองหน้าฉัน เหมือนจะรู้คำตอบให้ได้ การตัดสินใจของเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุด เท่าที่สติปัญญาฉันพอมี เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป ก็คือ จังหวะก้าวต่อไปของชีวิตฉันบนเส้นทางสายใหม่ สายที่จะต้องมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และคนๆ นั้นก็เป็นคนที่ฉันไม่รู้หน้าค่าตามาก่อนเลย

"ถ้าหากว่าสิ่งนี้เป็นตักดีรจากอัลเลาะห์ อานีก็ขอยอมรับในคู่ชีวิตที่ทั้งพ่อและแม่ได้ตัดสินใจเลือกไว้ให้แล้ว" ฉันจบคำพูดนี้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ ปนกับความเศร้า และในทันใด น้ำตาฉันก็รินไหลออกมา ตกกระทบบนตักของฉัน

แม่ เข้ามานั่งใกล้ฉัน และเข้ามากอดฉัน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าที่แม่กอดนั้นเพราะต้องเพราะดีใจที่ฉันได้ตัดสินใจตามและ ยอมรับที่ทั้งสองได้ตัดสินใจล่วงหน้าแล้ว หรือเข้ามากอดเพื่อต้องการสงบสติอารมณ์ของฉัน

ใน ท่ามกลางความเงียบพ่อก็พูดออกมาว่า "จงซูโกรเถิด เราหวังว่าอานีจะมีความสุขในชีวิต"

หลังจากนั้นฉันก็เข้าห้อง ปิดตัวเงียบอยู่คนเดียว ไม่สนใจสิ่งใดๆ ภายนอกทั้งสิ้น ฉันรู้ว่าทั้งพ่อแม่ดีใจมากกับคำตอบของฉัน แต่ใครจะรู้บ้างว่า อันตัวฉันนี้รวดร้าวยิ่งนัก กับสิ่งที่กำลังจะเป็นไป ฉันคิดอยู่เสมอว่าแม้ใจฉันจะร้องให้อย่างไม่หยุดหย่อน ก็ดีกว่าการทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ให้ทั้งสองสบายใจเถิด ส่วนตัวฉันจะเป็นอย่างไรก็ได้

แม่เข้ามาหาฉัน และพูดว่า "แม่จะนัดวันให้ลูกได้พบกับเขาก่อนในเร็วๆ นี้"

"ไม่ต้องหรอกค่ะ รอพบวันนั้นเลยก็ได้" ฉันตอบแม่สั้นๆ เพราะไม่มั่นใจนักว่าหากได้พบกัน บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก็ได้ และหากเป็นดังนี้ พ่อกับแม่ก็จะเสียใจอีก

พ่อเข้ามาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพ่อจะได้ยินในสิ่งที่ฉันคุยกับแม่ พ่อพูดกับฉันว่า "ทำไมถึงไม่อยากพบกับเขาก่อน พ่อว่าลูกได้คุยอะไรๆ กับเขาก่อนก็น่าจะดีกว่า"

ฉันตอบพ่อ ไปว่า "อานีได้สนองตอบต่อความต้องการของทั้งพ่อและแม่แล้ว แล้วทำไมพ่อกับแม่จึงไม่ตามอานีบ้าง"

แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยความเงียบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกเลย.

วันนิกาห์
ใจฉันวันนี้รู้สึก สับอลหม่านไปหมด มีความดีใจอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกเศร้าก็ไม่ได้จางหาย บวกกับความสับสนในชีวิต. ช่างลำบากเหลือเหลือเกินที่จะอธิบายถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ภายในใจของลูกผู้หญิงเช่นฉัน

ญาติๆ และน้องของฉันนั่งรายล้อมข้างๆ ฉัน พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังชายผู้หนึ่ง ใบหน้าที่คมเข้ม ในมาดขรึม สุขุมและเหยือกเย็น พวกเขานั่งในอีกส่วนหนึ่งของบ้าน พร้อมทั้งพ่อฉัน อีหม่าม และพวกผู้ชายทั้งที่เป็นญาติ และคนแถบบ้านใกล้เรือนเคียง

วันนี้คงเป็น วันสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตฉัน อีกซักครู่ก็จะมีการอิญาบและกอบูล กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขา แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของพ่อแม่ ฉันก็ขอมอบหมาย

ฉันหวังว่าด้วย การเลือกและการตัดสินใจจากครอบครัวเช่นนี้ จะเปี่ยมด้วยเราะห์มัตจากอัลเลาะห์ตะอาลา

ว่าที่สามีของฉันนั่งหันหน้าเข้าหา พ่อฉัน ซึ่งก็คือพ่อตาของเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ดูท่าทีก็เรียบร้อยมาก เห็นปากเขามุมมิบเหมือนกล่าวถ้อยคำบางอย่างที่ฉันไม่ได้ยิน หลังจากนั้น หลายคนในนั้นก็ผงกหัวตาม เหมือนเห็นพ้องต้องกันในสิ่งที่ได้เอื้อนเอยไป

ทุกคนยกมือดุ อาอ ที่ได้อ่านโดยผู้ชายคนนั้น

"อานี เป็นภรรยาของเขาแล้วนะ" เสียงกระซิบจากญาติของฉันคนหนึ่งซึ่งนั่ง ใกล้ฉันตลอด

และโดยไม่ตั้งใจ น้ำตาฉันก็รินไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันสับสนในตัวเองมาก ด้านหนึ่งมีความสุขและดีใจ แต่อีกด้านฉันก็เศร้า และเจ็บปวด



แต่จากนี้ไป ฉันก็คือภรรยาของเขา ความรับผิดชอบในครอบครัวทั้งจากพ่อและจากแม่ ก็ได้จบสิ้นลงแล้ว พ่อและแม่ฉันได้ปลดปล่อยภาระทั้งมวลสู่ผู้ชายคนหนึ่ง

"โอ้อัลเลาะห์ จงประทานความสุขให้แก่ครอบครัวฉัน จงประทานลูกหลานที่ดีๆ เพื่อ เพื่อสืบทอดจิตวิญญาณในศาสนาของพระองค์..." ดุอาอ ของฉัน

ฉันครวญคิดถึง ชีวิตในบทบาทใหม่ สถานภาพใหม่ที่ฉันได้รับเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ที่ฉันถูกเรียกว่าเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยสถานภาพนี้ฉันจะต้องรับภาระอยู่ไม่น้อย เป็นภาระเฉกเช่นภรรยาที่ดีทั้งหลายพึงปฎิบัติต่อสามี

"ฉันรับภาระนี้ ได้หรือ? " คำถามของฉันเองที่เวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงอยู่ตลอดเวลา และบ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่า ฉันคงไม่สามารถทำหน้าที่ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

"อัสสาลามู อาลัยกุม..." เสียงผู้ชายคนหนึ่ง จากประตูห้องของฉัน หลังจากฉันตอบสลามแล้วเขาก็เข้ามา ชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างหน้าฉัน ในขณะที่ฉันไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมา ฉันเพียงมองไปที่ขาเขา และพร้อมกันนั้น ญาติๆ และเพื่อนๆ ของฉันก็พากันเดินออกไป

ฉันรู้สึก เหมือนตัวสั่น และหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งตื่นเต้น ตกใจ และหวาดกลัว แล้วเขาก็นั่งลงข้างหน้าฉัน ส่วนฉันก็ยังไม่กล้า ที่จะมองหน้าเขา ฉันคิดว่าเขาคงรู้ถึงความรู้สึกของฉันในเวลานี้

"ยาฮาบีบี*" ถ้อยคำแรกที่ฉันได้ ยินจากปากเขา เสมือนหนึ่งต้องการประโลมใจฉัน และให้ฉันมองหน้าเขา

ฉันพยายาม บังคับตนเองให้ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา และในทันใดเขาก็ยื่นมือขวาและจับมือซ้ายของฉัน พร้อมกับบรรจงสวมแหวนทองในมิ้วนางของฉัน

ฉันพยายามบังคับตนเองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเรียกเขา "อาบัง" และเราก็สลามต่อกัน จากนั้นฉันก้มลงจูบมือเขา

และฉันก็พูดว่า "อา นีขอมอบหมายตัวและชีวิตของอานีสำหรับบัง อานีหวังว่าบังจะรับได้ในทุกอย่างจากอานี เท่าที่อานีมีอยู่นี้ ด้วยความอิคลาส**จากใจของบัง"

"เราจะร่วมกันสร้างชีวิต และร่วมกันก้าวเดินสู่ครอบครัวสากีนะห์***" เขาตอบ ให้สัญญากับฉัน

นี้คือครั้งแรกที่ฉันได้พบและได้คุยกับสามี ก่อนหน้านี้ฉันเพียงได้ดูรูปเขาที่แม่ให้มา

วันแรกผ่านไป โดยเขากลับบ้าน และพบกันอีกครั้งหนึ่งในวันวาลีมะห์

ในงานเลี้ยง ครอบครัวฉันได้จัดอย่างเรียบง่าย แต่ก็ครึกครื้นมาก เพราะญาติพี่น้องทุกคนได้มากันหมด รวมทั้งเพื่อนๆ โดยเฉพาะในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน ในขณะเดียวกันทั้งญาติพี่น้องฝ่ายสามี รวมทั้งเพื่อนๆ เขา ก็มากันเยอะ เกินกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้ความตั้งใจที่จะทำแบบเรียบง่าย และเล็กๆ ในตอนแรก แต่เมื่อมาถึงวันจริงกลับมากันมาก ทุกคนก็เหนื่อย โดยเฉพาะพ่อกับแม่ฉัน

ฉันสังเกตว่า สามีฉันเป็นคนที่มีบุคลิกภาพและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีมาก วันนี้เขาใส่ชุดขาว และเน้นความเป็นท้องถิ่น ดูแล้วช่างเป็นรสนิยมที่หาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน

ฉัน รู้สึกภูมิใจในตัวเขามาก ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยลืมในการขอดุอาอต่ออัลเลาะห์ ให้ประทานสามีที่ดี สามีที่สามารถเป็นผู้นำในการประคับประคองชีวิตฉันให้ก้าวเดินบนทางที่เที่ยง ตรง ทางที่ได้รับการยอมรับจากพระผู้อภิบาล เขาคนนั้นจะต้องรักฉันในฐานะภรรยา

ฉันไม่เคยคิดอยากได้คนที่ มีฐานะ หรือคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เหมือนกับที่เพื่อนๆ ฉันเขาเห่อกัน และมุ่งมั่นอยากจะได้ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนฉันไม่ต้องการอย่างนั้นเลย ฉันขอเพียงให้เขาคนนั้นเป็นคนที่มีศาสนา และมีความสุขร่วมกันกับฉัน บนพื้นฐานของความพอดี พอมี และพอเพียง และไม่เคยลืมดุอาอให้ฉันได้ลูกที่ซอและห์ เพื่อเป็นองค์ประกอบที่สุดพิเศษในครอบครัว

เสียง อาซานมักริบ จากมัสยิดในหมู่ดังกังวานไปทั่ว ปลุกความรู้สึกของพวกเราทุกคน ให้ต้องละทิ้งภารกิจอื่นใดทั้งปวง แม้ว่าในตอนนี้แขกเรื่อกลับไปหมดแล้ว แต่การจัดข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่เสร็จสิ้น และคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการเคลียร์ทั้งหมด

"เราค่อยมาจัดภายหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ไปละหมาดกันก่อน" เสียง ของพ่อจากในบ้าน บอกกับพวกเรา

ในห้องโถงของบ้าน ฉันเห็นน้องๆ ของฉันกุลีกุจอกันปูเสื่อและผ้าสะญาดะห์ ซึ่งก็เป็นบรรยากาศปกติภายในบ้านของฉัน เมื่อใดก็ตามแต่ที่ทุกคนกลับมาบ้านและอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เราก็จะละหมาดร่วมกัน นี้คือสิ่งที่ครอบครัวฉันได้ถือปฏิบัติเรื่อยมา

ทุกคน พร้อมในที่ละหมาดแล้ว คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่ช้ากว่าเพื่อน และเมื่อฉันพร้อม ก็เข้าร่วมในแถวสุดท้ายร่วมกับแม่และน้องสาว

น้อง ชายฉันอีกอมะห์เสร็จ พ่อก็บอกให้สามีฉันขึ้นไปเป็นอีมามนำละหมาด ตอนแรกดูเขาไม่กล้าขึ้นไป แต่เมื่อเขามองหน้าฉัน และฉันก็ผงกหัวให้ เขาก็เดินขึ้นนำละหมาดทันที



หลังจากจบสิ้น การอีญาบและกอบูล วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฉัน และวันนี้ก็เป็นวันแรกอีกเช่นกัน ที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากๆ ที่ได้ละหมาดร่วมกับเขา เขาในฐานะอีมาม จากเสียงอ่านในละหมาดของเขา ทำให้ฉันรู้สึกปลื้มใจจริงๆ เสียงของเขากังวานและชัดเจน อ่านอัลกุรอานได้เสนาะและเพราะพริ้งมาก เหมือนคนอาหรับเลย บัดนี้ฉันคิดในใจว่า พ่อแม่ช่างเลือกคู่ที่ดีเหลือเกินสำหรับตัวฉัน

"โอ้อัลเลาะห์ จงอย่าถือเป็นความผิดบาปกับความพลั้งเผลอทั้งหลายของฉัน
โอ้อัล เลาะห์ จงอย่าได้มอบภาระที่หนักหน่วงให้กับฉัน เหมือนกับที่พระองค์ที่มอบให้กับชนในรุ่น
ก่อนๆ
โอ้อัล เลาะห์ จงอย่าให้ฉันต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เหนือกว่าความสามารถของฉัน
โอ้อัล เลาะห์ จงให้อภัยต่อความผิดบาปของฉัน และจงประทานเราะห์มัตแก่เหล่าชนผู้ศรัทธา
ทั้งหลาย ด้วยเถิด
โอ้อัลเลาะห์ จงประทานต่อฉัน สำหรับการเป็นภรรยาและสามีที่ดี ตลอดจนประทานลูก ๆที่
ซอและห์ และจงทำให้เราทุกคน ร่วมอยู่ในกลุ่มชนของบรรดามุตตากีน"

เสียงของเขา อ่านดุอาอ ที่ดูแล้วเต็มไปด้วยความยำเกรง หลังจากเสร็จการละหมาด หลังจากนั้นเราต่างก็ยื่นมือสลามต่อกัน ฉันเริ่มจากพ่อ แม่ และน้องๆ ต่อจากนั้นฉันก็เข้าประชิดตัวเขา และยื่นมือสลาม

ฉันพูด กับเขาว่า "บังมาอัฟให้กับอานีด้วย" แล้วก้มลงจูบมือเขา

เขาจูบ ที่หน้าผากฉัน แล้วพูดว่า "โอ้ ฮาบีบี อานีไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใด ๆ กับบังนิ"

พวกเรานั่ง พูดคุยในที่ละหมาดจนถึงอีซา และเมื่อละหมาดเสร็จ ฉันเห็นเขาลุกออกไปยังประตูบ้าน

"บังจะไป ไหน" ฉัน ถามเขา

"ของหน้าบ้านยังจัดไม่เสร็จเลย ต้องจัดให้เสร็จก่อน" เขาตอบ

แล้ว เสียงของพ่อแทรกเข้ามา "วันนี้พักผ่อนก่อน ค่อยจัดพรุ่งนี้ก็ได้"

แต่เขายังยืน กราน "ไม่ เป็นไร ยังอีกไม่มาก จัดให้เสร็จในคืนนี้เลยก็ได้" เขาตอบกับพ่อ

ฉัน เข้าห้องเปลี่ยนชุดแต่งกาย และลงไปช่วยจัดข้าวของต่างๆ ในเต็นท์ร่วมกับเขา ดูเขาง่วนกับงานที่อยู่ข้างหน้ามาก ไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันเดินลงมาช่วยเขาด้วย.

ฉันแกล้งเดินไปชนหลังเขา เขาก็สะดุ้งสุดตัว ฉันรู้สึกว่าเขาจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยมากก็ได้

เขาถาม ฉันว่า "ลง มาตั้งแต่เมื่อไร"
"ก็ 4- 5 นาทีนี้เอง มุ่งมั่นทำงานจังเลยนะ อานีลงมาทั้งคนยังไม่รู้สึกอะไรเลย" ฉันตอบเขา
"มาอัฟให้บังด้วย บังไม่รู้สึกตัวจริงๆ" เขาตอบกลับมา และในทันใดเขาก็เข้ามาประชิดตัวฉัน แล้วพูดว่า
"อานีไม่โกรธบังนะ" พูดจบเขาก็โอบไหล่ฉัน ฉันมองหน้าเขา และโดยไม่ทันตั้งตัว เขาก็หอมแก้มฉัน
"ไม่ได้นะ เดียวคนในบ้านจะเห็น" ฉันห้ามเขา
"ไม่เห็นจะต้องอายตรงไหนเลย ยังไงๆ ก็เซาะห์แล้ว" เขาตอบกลับ
และฉันก็ ตอบไปในทันทีว่า "ก็ถูกต้องในสิ่งที่บังได้ว่ามา แต่ให้ดูสถานที่ด้วยซิ ถ้าอยู่กันแค่ 2 คน บังจะทำเกินกว่านี้อานีก็ให้ได้" แล้วเขาก็หัวเราะ

หลัง จากได้นิกาห์มา วันนี้ก็เป็นวันแรก ที่เราได้คุยหยอกล้อกัน ในฐานะผู้หญิงฉันรู้สึกมีความสุขมาก และถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชาย และดูเขาก็มีความใส่ใจกับฉันมาก

ความ สุขเช่นนี้ ไช่ว่าใครๆ สามารถมีได้ สุขที่ได้ร่วมชีวิตกับคนที่รัก ช่างเป็นนิอมัติสำคัญที่อัลเลาะห์ได้ให้มา ยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่เซาะห์ ภายใต้บทบัญญัติทางศาสนาแล้ว ความสุขนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ชีวิตฉันไม่เคยมีความรักกับใคร แม้ในช่วงที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ที่เพื่อนๆ ฉันส่วนใหญ่เขามีกัน แต่ฉันไม่ แม้จะมีใครมาทำท่าสนใจอย่างไร ฉันก็ไม่สน เพราะสิ่งที่ฉันถือปฎิบัติมาโดยตลอดก็คือ รักแท้จะต้องเกิดขึ้นภายหลังการนิกาห์แล้วเท่านั้น

แต่ ความรู้สึกในเบื้องลึกของคน คงยากนักที่จะอธิบายให้ใครได้เข้าใจ ยิ่งความรู้สึกของลูกผู้หญิง แม้วันนี้ฉันอยู่เคียงข้างเขา เขาคือชายผู้เป็นสามีฉัน แต่ฉันกลัว กลัวหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ต้องแบกรับภาระความเป็น "ภรรยาที่ซอลีหะฮ์" ภรรยาที่มีเกียรติใน สายตาสามี และในบริบททางศาสนา

"อานี คิดอะไรอยู่" ถึงคราวที่ฉันต้องสะดุ้งต่อ เมื่อสามีมาลูบหัวฉัน ในขณะที่ฉันเหมือนหลุดอยู่ในภวังค์

"บัง ทำให้อานีตกใจ รู้หรือเปล่า" ฉันแกล้งพูดทำเป็นงอน ด้วยอยากรู้ว่าเขาจะง้อฉันอย่างไร

"โอ้ ฮาบีบี แค่นั้น ก็ทำเป็นโกรธหรือ" เขาพูดแล้วหยิกแก้มฉัน

และ ฉันก็ตอบเขาไปว่า "คืนนี้ บังนอนใต้เตียงคู่กับยุงก็แล้วกัน เพราะภรรยาของบัง เขาไม่สบอารมณ์กับบัง น่าสงสารจัง"

แล้วสามีฉันก็ เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่า "อานี ตกลงเราจะไปฮันนี่มูนกันที่ไหนดี?"

ฉันตอบเขาว่า "อา นีพร้อมไปทุกที่ สุดแท้แต่บังจะพาไป"
"ถ้าบังพาไปสู่ดวง ดาว และดวงจันทร์ อานีจะตามไปกับบังไหม?" เขาตอบกับฉัน
"ถ้าบังมีเงินมากขนาดนั้น เราไปตั้งรกรากบนดาวดวงอื่นเลยดีไหม ?" ฉันตอบเขา แล้วเขาก็หัวเราะ

เมื่อจบเสียงหัวเราะเขาก็ถามฉันต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความใส่ ใจว่า "ยา ฮาบีบี ตกลงเราจะมีลูกกันกี่คน"
"แล้วบังต้องการกี่คนล่ะ" ฉันถามเขาต่อ
"บัง ต้องการให้มากที่สุด ว่าแต่อานีจะไหวหรือ?"
"เอ๊ะ บังเห็นอานีเป็นโรงงานผลิตลูกหรือไง?" ฉันตอบเขา แล้วเขาก็หัวเราะอีกครั้งหนึ่ง ฉันดูเขาช่างเป็นคนที่หัวเราะง่ายจังเลย
แล้วเขาก็ ตอบฉันว่า "ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เพียงแต่ว่าถ้าได้ลูกหลายๆ คนก็จะดี บังอยากได้ลูกหลายคน ทั้งลูกชายและลูกสาว อยากมีให้เท่าๆ กัน
ฉันตอบเขา ว่า "อิน ซาอัลเลาะห์ถ้ามีริสกี อานีก็พร้อม"
เมื่อฉันพูดจบ ฉันก็เห็นสามีฉันยิ้มระรื่น แล้วพูดว่า "นี้แหละที่ทำให้บังเพิ่มความรู้สึกรัก และหวงต่ออานีเป็นกองเลย" พูดจบเขาก็หอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่ง

นิอมัต สำคัญของการเป็นลูกผู้หญิงก็คือการได้รับความรัก อย่างเต็มเปี่ยมจากผู้เป็นสามี ยิ่งคนดีๆ อย่างเขา ทำให้ฉันเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ผีเสื้อ ลำธาร น้ำผึ้ง บุหงา ลดามาลย์ และมีลมโชยพัดโรยระริน เป็นอาจิณตลอดกาล...

"อานี บัง ขึ้นมาทานข้าวก่อน" เสียงของแม่ดังมาจากบนบ้าน เรียกเราสองคนให้ขึ้นไปทานอาหารมื้อค่ำ
ฉันจูงมือสามี เดินขึ้นบ้าน พบว่าแม่ได้เตรียมอาหารพร้อมไว้แล้ว ทั้งพ่อและน้องๆ ก็นั่งกันพร้อมหน้า

อาหาร มื้อนี้คงจะเป็นมื้อที่พิเศษที่สุด เพราะนอกจากจะหิวมากๆ แล้ว เพราะต้องดูแลแขกที่มาในงาน เป็นงานแรกของบ้านนี้ แม้ไม่ได้จัดอย่างใหญ่โต แต่เพื่อนๆ ฉันทุกคนที่ทราบข่าว ต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีขาดเลยแม้ซักคนเดียว ฉันรู้สึกประทับใจกับเพื่อนๆ จริง

และ ที่สำคัญมื้อนี้ก็เป็นมื้อแรกที่ได้ทานร่วมกับเขา และทุกคนในครอบครัว ช่างเป็นมื้อที่พิเศษจริงๆ

.................

ในห้องของฉัน ซึ่งฉันเป็นคนจัดเองทั้งหมด ฉันดูแล้วก็สวยงามใช่ย่อยเลย ฉันอดจะภูมิใจในฝีมือของตนเองไม่ได้ และห้องนี้ก็คือห้องของฉันกับเขาในคืนแรกนี้ คืนที่น่าจะเป็นคืนที่สวยงามที่สุดและพิเศษที่สุดสำหรับชีวิตของสามีภรรยา

ใน คืนแรกของฉันกับชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ฉันรู้สึกกลัว และ รู้สึกใจเต้นไม่เป็นปกติ พะวักพะวงกับสิ่งที่ต้องเป็นไป ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

และแล้วเสียงเคาะประตูห้องฉันก็ ดังขึ้น ซึ่งก็เพิ่มความรู้สึกพะวักพะวง ตื่นเต้นและตกใจสำหรับฉันมากขึ้น แน่นอนคนที่เข้ามาก็ไม่ไช่ใครที่ไหน หากแต่เขา สามีฉัน

"เชิญเข้ามาประตูไม่ได้ล๊อค" ฉันบอกเขาไป

เขาเข้ามาและปิดประตูห้องเบาๆ แล้วก็ลงนั่งใกล้ฉัน คำแรกที่เขาเอ๋ยกับฉัน "ทำไมดูซึม เศร้า ไม่ดีใจหรือที่ได้อยู่กับบัง"

ฉันทำได้แค่ส่ายหัว เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่เขาก็พยายามคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ สุดท้ายฉันก็ตอบไปว่า "อานีกลัวบัง"

เขาเข้ามา ใกล้ฉันมากขึ้น และเอาลูบไล้ผมของฉัน "มีอะไรที่ทำให้ ต้องกลัวจากบังหรือ? เราจะต้องช่วย และร่วมมือกันเพื่อครอบครัวสากีนะห์" เขาพยายามปลอบ ประโลมฉัน

ฉันตอบเขาไปว่า "อานีกลัวว่าอานีไม่สามารถทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของบังได้ อานีอ่อนแอในหลายๆ อย่าง อานีคิดว่าซักวันหนึ่งบังจะรับอานีไม่ได้ อานีกลัว...." ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบเขาก็เอานิ้วมาแตะปากฉัน ไม่อนุญาตให้ฉันได้พูดอีกต่อไป

"ยาฮาบีบี วันนี้อานีในฐานะภรรยาของบัง บังรับในทุกอย่างจากอานีเท่าที่อานีมี บังรับทุกอย่างจากสิ่งดีในตัวของอานี ซึ่งก็เท่ากับที่บังต้องรับทุกๆ อย่างจากความอ่อนด้อยในตัวของอานี จึงอย่าได้คิดอะไรมากเลยกับเรื่องของชีวิต และอย่าได้กังวลว่าบังจะไม่พอใจใดๆ กับอานี" เขาพูดด้วยน้ำ เสียงที่อ่อนโยน และแสดงความใส่ใจอย่างสุดซึ้ง

และ ฉันก็สนองตอบในสิ่งที่เสนอมา

"อานี บังต้องขอไปอาบน้ำก่อน เพราะรู้สึกเหนียวตัว" เขาบอกกับฉัน และฉันก็ลุกขึ้นไปเอาผ้าขนหนู และผ้าโสร่งในตู้ หยิบให้เขา

เขารับผ้าขนหนูไป ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก่อนที่เดินเข้าห้องน้ำ เขาก็ก้มลงหอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่งคืนนี้ ท้องฟ้าไม่แจ่มใส ก้อนเมฆหนาทึบบดบังทั้งแสงจันทร์และดวงดาว เสียงสัตว์กลางคืนเงียบหายไป มีแต่เสียงฟ้าร้อง จากที่ไกลๆ ผ่านห้องฉันเข้ามา อีกไม่นานฝนคงจะตกลงมา เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับผืนดินและทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้

ฉันเพ่งพินิจ ไปในทุกส่วนของห้องนอนของฉัน ที่ฉันจัดและตกแต่งด้วยตนเองเท่าที่ความสามารถของตัวเองทำได้ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องน้ำฉันได้จัดเตรียมชุดนอนให้เขา และฉันเองก็เปลี่ยนชุดแต่งกายของตนเองรอสามี ด้วยใจที่เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ

แล้วซักครู่เขาก็ออกมาจากห้องน้ำ เขายิ้มมายังฉัน แล้วพูดว่า "โอ้ฮาบีบี ช่วยเอาน้ำให้บังซักแก้วซิ หิวน้ำเหลือเกิน"

ฉันหยิบชุดนอนให้กับเขา แล้วออกไปเอาน้ำจากในห้องครัว ฉันเหลือบไปดูนาฬิกาบนเพดาน ปรากฏว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว เมื่อเข้าห้องอีกครั้งหนึ่ง ฉันเห็นเขานั่งดุอาอบนสาญาดะห์ ด้วยถ้อยคำบางอย่างทีฉันไม่สามารถได้ยินได้

ฉันนั่งรอเขา บนเตียง รอจนกว่าเขาจะดุอาอเสร็จ และเมื่อเสร็จแล้วเขาก็ลุกขึ้นมานั่งชิดกับฉัน แล้วฉันก็ยื่นแก้วน้ำให้กับเขา

"บัง..." ฉันเรียกเขา

"มีอะไรหรือ" เขาตอบกลับ

ฉันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็จับจ้องมายังฉัน และใช้สายตาเพื่อคาดคั้นให้ฉันพูดออมาให้ได้

"คืนนี้บังจะ...จะ.." ฉันรู้สึกขัดเขินใจ อย่างยิ่งที่จะพูดต่อให้จบ

"จะอะไรหรือ" เขาถามฉัน

"โอ้บังนิ.." ฉันรู้สึกอายตนเอง เมื่อคิดว่าเขาคงอ่านความคิดของฉันออกแล้ว

แล้วเขาก็ กระซิบข้างหูฉันว่า "ไช่ซิ คืนนี้ จะเป็นคืนที่พิเศษที่สุดสำหรับเราสองคน"

ฉันทำได้ เพียงผงกหัวเบาๆ ด้วยคิดอยู่ในใจว่าในฐานะภรรยา ก็ต้องพร้อมสำหรับสิ่งที่เป็นความต้องการของสามี ฉันต้องพร้อมทั้งกายและเพื่อเขา ที่ไม่ขัดแย้งกับหลักซารีอะห์

"อัสสาลามู อาลัยกุม โอ้ประตูแห่งเราะห์มัต" เขากระซิบเบาๆ ข้างหูฉัน

และในทันใด ฉันก็ตอบเขาไปว่า "วาอาลัย กุมุสลาม สำหรับผู้ถือสิทธิที่มีเกียรติ"..........จบตอนที่หนึ่ง.

0 ความคิดเห็น: