นโยบายด้านการเมืองการปกครองของมุฮัมมัด ต่อชาวยะฮูดี

ในยุคก่อนอิสลาม“ญาฮิลียะฮฺ”ชาว

ยะฮูดีได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดของ แคว้นฮิญาซ “الحجاز ”พวกเขาประกอบอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และค้าขาย ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ยัษริบ คอยบัร ยะมัน เป็นต้น

ภาษา ที่ชาวยะฮูดีที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองสำคัญๆ ต่างๆ เหล่านี้ใช้อยู่ คือภาษาอาหรับ แต่ถึงกระนั้นก็ตามภาษาอาหรับที่พวกเขาใช้ก็ยังมีภาษาฮิบรูปะปนอยู่ด้วยเสมอ เพราะพวกเขายังใช้ภาษาฮิบรูในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการศึกษา และการประกอบศาสนกิจประจำวัน


ในนครมะดีนะฮฺ มีชาวยะฮูดีจาก 3 สายตระกูลอาศัยอยู่ ได้แก่

1. ยะฮูดีจากสายตระกูล บะนูกอยนุกออฺ (بنو قينقاع)

2. ยะฮูดีจากสายตระกูล บะนู อันนะฎีร (بنو النضير)

3. ยะฮูดีจากสายตระกูล บะนู กุรอยเซาะฮฺ (بنو قريظة)


เมื่อท่านนบีมูฮัมหมัด อพยพจากนครมักกะฮฺ สู่นครมะดีนะฮฺ ท่านได้ยึดเอานครมะดีนะฮฺเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่อิสลาม ท่าน มิได้มีบทบาทเพียงแค่เป็นศาสดาผู้เผยแพร่ศาสนาเท่านนั้น แต่ท่านยังเป็นผู้นำรัฐอิสลาม และเป็นผู้กำหนดนโยบายการปกครองในนครมะดีนะฮฺอีกด้วย สายตาแห่งการ เป็นศัตรูจากชาวยะฮูดีก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขามองว่ามูฮัมหมัดและศาสนาที่ท่านนำมาเผยแพร่นั้นเปรียบเสมือน หอกข้างแคร่ที่ตัองจัดการให้สิ้นซาก

ในนครมะดีนะฮฺ ท่านนบีมูฮัมหมัด พยายามสร้างความรู้สึกความเป็นพี่น้องขึ้นระหว่างคนเหล่านั้นให้มากที่สุด เพราะท่านเล็งเห็นความจริงที่ว่า นครมะดีนะฮฺจะมีรากฐานที่แข็งแรงไม่ได้ หากไม่ได้รับการค้ำจุนจากทุกกลุ่ม ด้วยปรารถนาอันแรงกล้านี้ ท่านนบีมูฮัมหมัด ได้ เริ่มนโยบายแรกของท่าน เพื่อให้ภายในรัฐอิสลามที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่นี้มีความเป็นอยู่อย่างสันติ นั้นคือความพยายามกระทำหนึ่งในสองประการต่อไปนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา

1. ชักจูงชาวยะฮูดีที่อาศัยอยู่ในนครมะดีนะฮฺให้หันมาเข้ารับอิสลาม

2. หรือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยพวกเขาสามารถนับถือศาสนาเดิมของตนได้อย่างอิสระ

เพื่อ เป็นไปตามเจตนารมณ์และทำให้นโยบายของท่านที่ได้วางเอาไว้นั้นเป็นจริงขึ้นมา ท่านจึงได้ทำสนธิสัญญากับชาวยะฮูดีที่อาศัยอยู่ในนครมะดีนะฮฺ ซึ่งในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวนั้น ได้มีการระบุถึงสิทธิหน้าที่ ความเท่าเทียมกันระหว่างมุสลิมและยะฮูดีเอาไว้อย่างชัดเจน


ในนครมะดีนะฮฺ ท่านนบีมูฮัมหมัด ต้องอดทนอดกลั้นต่อพฤติกรรมของชาวยะฮูดีเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาต่างพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ชาวมุฮายีรีนและชาวอันศอรนั้น เกิดการพิพาทกัน และยังพยายามที่จะให้ชาวอันศอรจากเผ่า “เอาซ์” และ “คอซรอจ”หันกลับมาทำสงครามกันเหมือนในอดีตที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำสงครามกัน และอีกหลายครั้งที่พวกเขาลอบวางแผนลอบสังหารท่านนบีมูฮัมหมัด แต่ไม่ประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจ

ในที่สุดท่านนบีมูฮัมหมัด ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะกำจัดยะฮูดีทุกสายตระกูลที่อาศัยอยู่ในนครมะดีนะฮฺ โดยท่านนบีมูฮัมหมัด เริ่มจัดการกับยะฮูดีจากสายตระกูลบะนูกอยนุกออฺ (بنو قينقاع) เป็นลำดับแรก

ในอดีตท่านนบีมูฮัมหมัด เคยทำสนธิสัญญากับยะฮูดี จากสายตระกูลบะนูกอยนุกออฺว่าจะไม่เป็นศัตรูต่อกัน แต่ทว่าหลังสงครามบะดัรเสร็จสิ้นลง พวกเขาผิดสัญญา ท่านนบีมูฮัมหมัด จึงได้นำกองทหารมุสลิมปิดล้อมพวกเขา เป็นเวลา 15 คืน เป็นการกดดันจนกระทั้งพวกเขายอมจำนน ท่านนบีมูฮัมหมัด จึงได้ยึดทรัพย์สินของพวกเขาให้เป็นสิทธของชาวมุสลิม และเนรเทศพวกเขาออกจากนครมะดีนะฮฺในที่สุด

ลำดับต่อมาท่านนบีมูฮัมหมัด ตัดสินใจที่จะจัดการกับชาวยะฮูดีจากสายตระกูลบะนูนะฎีร(بنو النضير) เมื่อ พวกเขาวางแผนที่จะลอบสังหารท่าน และบรรดาซอฮาบะฮฺ ท่านมีคำสั่งให้เนรเทศพวกเขาออกจากนครมะดีนะฮฺ เนื่องจากผิดสัญญาที่ได้ทำไว้ แต่ ทว่าพวกเขาปฏิเสธ ท่านจึงได้นำกองทหารมุสลิมเข้าปิดล้อม จนกระทั้งพวกเขายินยอมที่จะเดินทางออกจากนครมะดีนะฮฺแต่โดยดี โดยในครั้งนี้ท่านนบีมูฮัมหมัด ได้อนุญาตให้พวกเขานำทรัพย์สมบัติติดตัวไปได้ ยกเว้น ที่ดิน สวนอินทผาลัม และอาวุธ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องตกเป็นของมุสลิมโดยชอบธรรม


หลังจากที่ชาวยะฮูดีจากสายตระกูลบะนูนะฎีร ถูกขับออกจากนครมะดีนะฮฺแล้ว ในเมืองมะดีนะฮฺก็ไม่เหลือชาวยะฮูดีจากตระกูลใดอีก นอกจากยะฮูดีจากสายตระกูลกุรอยเซาะฮฺ (بنو قريظة) หลายคนคิดว่าพวกเขาอาจจะเข็ดหลาบ จากการได้เห็นยะฮูดี 2 กลุ่มแรกถูกเนรเทศออกจากนครมะดีนะฮฺ แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะในสงครามคอนดัก ชาวยะฮูดีที่เหลืออยู่ในนครมะดีนะฮฺกลับหันไปร่วมมือกับพวกกุเรชมักกะ ฮฺอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลย ในที่สุด เมื่อพวกเขาไม่สนใจใยดีกับสัญญาที่เคยทำไว้ กับท่านนบีมูฮัมหมัด ท่านจึงได้นำกองทหารมุสลิมเข้าปิดล้อมพวกเขาเป็นเวลา 15 วัน กดดันจนพวกเขาต้องยอมจำนนในที่สุด

ชาวอันศอรจากเผ่า “เอาสฺ” ร้องขอท่านนบีมูฮัมหมัด ให้มอบตัวยะฮูดีเหล่านี้ให้พวกเขาจัดการ เนื่องจากชาวยะฮูดีเหล่านี้ เคยเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ท่านศาสดาจึงได้เลือกท่าน สะอัด บิน มุอาซ จากเผ่าเอาสฺเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของชาวยะฮูดีกลุ่มนี้

ท่านนบีมูฮัมหมัด กล่าวกับพวกเขาว่า "أما ترضون أن يكون الحكم فيكم إلى رجل منكم "

“พวกท่านไม่พอใจหรอกหรือ? ที่จะให้ผู้ที่จะมาตัดสินโทษพวกท่านนั้น เป็นพวกพ้องของท่าน”

เมือ พวกเขาเห็นด้วย ในที่สุดท่านสะอัด บุตร มุอาซได้ตัดสินประหารชีวิตชายชาวยะฮูดีกลุ่มนี้ทั้งหมด ส่วนเด็กและผู้หญิงให้อยู่ในฐานะเชลย ทรัพย์สินของพวกเขาทั้งหมดถูกยึดเป็นของมุสลิม


นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวยะฮูดีที่คอยตำหนิ และเย้ยหยันท่านศาสดาทุกรูปแบบก็หมดไปจากนครมะดีนะฮฺ

จากหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนแต่บีบบังคับให้ท่านนบีมูฮัมหมัด ต้อง ใช้กำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ หรือจัดการขั้นเด็ดขาดต่อชาวยะฮูดีเหล่านี้ เราจะเห็นว่านโยบายของท่านที่มีต่อพวกเขานั้น หาได้มุ่งใช้ความรุนแรงไม่ ท่าน เริ่มด้วยการทำสนธิสัญญาสันติภาพ พยายามให้ชาวมุสลิมและชาวยะฮูดีซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในนครมะดีนะฮฺ อยู่กันอย่างสันติเป็นลำดับแรก ความอดทนต่อศาสนิกอื่นนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น

ในเมื่อมีคนหลายเผ่าหลายชาติอาศัยอยู่รวมกัน การพัฒนาย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ หากประเทศไร้ซึ่งการสมานฉันท์ ต่อ มาเมื่อสถานการ์เปลี่ยนแปลงไปท่านจึงจำเป็นต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเพื่อให้ รัฐอิสลามสามารถดำรงอยู่ได้ หากท่านไม่ใช้การจัดการขั้นเด็ดขาด ชาวยะฮูดีย่อมจะรวบรวมและสร้างอำนาจซ้อนขึ้นภายในและสงครามกลางเมืองก็ต้อง เกิดขึ้น และรัฐอิสลามก็จะคงอยู่และพัฒนาต่อไปไม่ได้ เป็นการลดความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดสงครามภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะนครมะดีนะฮฺถือว่าเป็นรัฐใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาในการร้างความมั่นคงทางการเมืองและการปกครอง

นี่คือนโยบายหนึ่งของท่านนบีมูฮัมหมัด ผู้ซึ่งอัลเลาะฮฺ ได้ทรงตรัสไว้ว่า

( لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِّمَن كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيراً﴾ (الأحزاب : 21)

“แน่ แท้ในตัวของนบีมูฮัมหมัด มีแบบฉบับที่ดีงามอยู่สำหรับพวกเจ้า

สำหรับผู้ที่หวังว่าจะพบกับอัลลอฮฺ และวันอาคิเราะฮฺ และเขาได้รำลึกถึงอัลลอฮฺอยูเสมอ”



โดย ดร.สมชาย (ฮัสบุ้ลเลาะฮฺ) เซ็มมี

0 ความคิดเห็น: