ข้อห้ามต่างๆ ของผู้หญิงมุสลิม มีอะไรบ้าง ลองอ่านกันดู!!!




ข้อห้ามของสตรีทั้ง 13 ข้อ
ข้อ 1 ห้ามสตรีออกจากบ้านโดยใส่ของหอม
ซัยนับ อัษษะก่อฟียะฮ์ (ร.ฏ.) รายงานจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า "เมื่อคนใดจากพวกเธอไปละหมาดอีชาอ์ -  
บางรายงาน กล่าวว่า ไปมัสยิด - ดังนั้น  นางอย่าใส่ของหอมในคืนดังกล่าว" รายงาน โดยมุสลิม
ท่า นอบูฮุรอยเราะฮ์ (ร.ฏ.) รายงานจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า "สตรีใดที่ได้สัมผัสกับควันไม้หอม  ดังนั้น เขาก็อย่ามาร่วมละหมาดอีชาอ์ในช่วงสุดท้าย(ของคืน)พร้อมกับเรา" รายงานโดย มุสลิม
ท่าน ร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "สตรีใดที่ใส่ของหอม แล้วเดินผ่านผู้คนกลุ่มหนึ่ง  เพื่อให้พวกเขาได้กลิ่นหอมของนาง  แน่นอนว่าเธอคนนั้นคือโสเภณี" รายงานโดย ท่านอะหฺมัด  ดู หนังสือ มุสนัด เล่ม 4 หน้า 444
หะ ดิษเหล่านี้  ได้บ่งชี้แก่เราว่า  ห้ามบรรดาสตรีออกจากบ้านโดยใส่ของหอม  เนื่องจากการที่พวกนางใส่ของหอมต่อหน้าบรรดาผู้ชายนั้น เป็นการกระตุ้นอารมณ์ของพวกเขา
ดัง นั้น  จึงจำเป็นต่อสตรีทุกคน  อย่าออกจากบ้านของนาง  นอกจากความเป็นจำเป็นตามหลักของศาสนา  และให้นางประดับประดาด้วยจรรยามารยาทของศาสนา โดยการคลุมฮิญาบ  สวมใส่อาภรณ์หลวม ๆ ไม่รัดรูป  ปราศภาพลักษณ์ที่ทำให้เกิดการยั่วยวน  ไม่ใส่น้ำหอมในขณะออกจากบ้าน  แต่ทว่า  เมื่อนางกลับถึงบ้าน  ก็อนุญาตให้ใส่น้ำหอมได้ตามที่ต้องการ  โดยมีเงื่อนไขว่า  ต้องไม่ให้ชายอื่นได้กลิ่นหอมนั้น
2 ห้ามภรรยาปฏิเสธการร่วมหลับนอนกับสามี เมื่อเขาร้องขอ
บท นี้เป็นเรื่องที่สำคัญ  ซึ่งสตรีส่วนมากต้องเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว  จนกระทั่งทำให้พวกนางต้องได้รับการสาปแช่งจากมะลาอิกะฮ์  ด้วยสาเหตุที่สามีมีความโกรธกับนาง
รายงาน จาก อบูฮุรอยเราะฮ์  ท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า "เมื่อสามีได้เรียกร้องให้ภรรยาของเขาไปยังที่หลับนอน  แล้วนางให้การปฏิเสธโดยค่ำคืนนั้นสามีความโกรธต่อนาง  ดังนั้น บรรดามะลาอิกะฮ์จะทำการสาปแช่งนางจนกระทั่งถึงยามเช้า"  รายงานโดย บุคคอรีย์และมุสลิม
หะ ดิษนี้  ชี้แนะแก่เราว่าภรรยานั้นต้องมีสิทธิพึงปฏิบัติต่อผู้เป็นสามี  และส่วนหนึ่งจากบรรดาสิทธิต่าง ๆ  ก็คือ  สิทธิในการแสวงหาความสุขจากนาง  และถือเป็นสิ่งต้องห้ามแก่ภรรยาที่ให้การปฏิเสธสิทธิดังกล่าวที่มีต่อสามี  ถ้าหากไม่เช่นนั้น  นางก็จะได้รับการสาปแช่งจากมวลมะลาอิกะฮ์ด้วยสาเหตุดังกล่าว  และการสาปแช่งนั้น  หมายถึง  บรรดามะลาอิกะฮ์ได้วอนขอดุอาอ์ให้นางห่างไกลจากความเมตตาของอัลเลาะฮ์ตะอา ลา  ดังนั้น  นางเป็นรู้สึกอย่างไรเล่า  ที่บรรดามะลาอิกะฮ์ได้ทำการขอดุอาอ์ให้นางห่างไกลจากความเมตตาของอัลเลาะฮ์  และต่อไปจะเป็นเช่นไรในขณะที่นางได้อยู่เบื้อหน้าอัลเลาะฮ์ตะอาลา  (หมายถึง รอรับการสอบสวน)  และการปฏิบัติต่าง ๆ ของนางนั้นได้ถูกนำเสนอ  ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้น มีการประพฤติที่ชั่วจนเป็นเหตุให้นางต้องได้รับการลงโทษด้วยสาเหตุของบาป นั้น
แต่หากว่า  ภรรยาอยู่ในสภาวะที่ป่วย  มีประจำเดือน  และถือศีลอดในเดือนรอมะฏอน  ก็อนุญาตให้นางปฏิเสธในสิ่งดังกล่าวได้
ข้อ 3 ห้ามสตรีพรรณนาหญิงอื่นให้สามีของนางรับฟัง
รายงาน จากท่านอิบนุมัสอูด ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  เขากล่าวว่าท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า "ผู้หญิงคนหนึ่งอย่าทำการสัมผัสกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง  แล้วนางทำการพรรณนาคุณลักษณะแก่สามีของนาง  ประหนึ่งเขาได้มองเห็นหญิงคนนั้น"  รายงานโดย อัลบุคอรีย์
ท่าน อิมามอิบนุอัลเญาซีย์ กล่าวว่า "ถูกห้ามจากสิ่งดังกล่าวนี้  เพราะผู้ชายคนหนึ่ง  เมื่อได้ยินคุณลักษณะของสตรี ปณิธานของเขาจะสั่นไหว (คือให้ความสนใจ) และหัวใจของเขาจะมุ่งปรารถนา  จิตใจจะคอยแสวงหาคุณลักษณะที่สวยงาม (ที่มีเหมือนกับสตรีคนนั้น)  ดังนั้นบางครั้งการพรรณนาคุณลักษณะ จะเรียกร้องไปสู่ความต้องการคุณลักษณะที่สวยงามนั้น  และบางครั้ง  การให้ความสนใจแสวงหาสิ่งดังกล่าวนั้น  ทำให้เกิดความคะนึงหา(สตรีคนนั้น)"  ดูอะหฺกาม อันนะซาอ์ หน้า 63
ข้อ 4 ห้ามสตรีทำการถือศีลอดสุนัต โดยที่สามีอยู่ นอกจาก ได้รับการอนุญาตจากเขา
เพราะมีหะดิษจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ว่า  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า
"ไม่ อนุญาตให้สตรีทำการถือศีลอด โดยที่สามีของนางอยู่ นอกจาก ได้รับอนุญาตจากเขา  และนางจะไม่อนุญาต(ให้ผู้อื่น)เข้ามาในบ้าน นอกจากได้รับอนุญาตจากเขา"  รายงาน โดย บุคคอรีย์ และ มุสลิม
ท่านอิมามอันนะวาวีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า
"หะ ดิษนี้ถูกตีความว่ามันคือการถือศีลอดสุนัตโดยไม่เจาะจงเวลาที่เฉพาะ  และการห้ามนี้  คือ การห้ามแบบฮะรอมที่บรรดานักปราชญ์ของเราได้กล่าวชัดเจนไว้  และสาเหตุการห้าม คือ สามีนั้นมีสิทธิในการหาความสุขกับนางในทุก ๆ วัน  และสิทธิดังกล่าวเป็นสิ่งวายิบ(จำเป็น) อย่างรีบด่วน  ดังนั้นสิทธิดังกล่าวไม่สามารถละเลยด้วยเหตุของการกระทำสุนัตและสิ่งที่วา ยิบแบบล่าช้า  และหากกล่าวว่าสมควรอนุญาตให้นางทำการถือศีลอดโดยไม่ต้องขออนุญาตจากสามี  เพราะเมื่อสามีต้องการหาความสุขกับนางก็อนุญาตแก่ผู้เป็นสามีได้โดยที่การ ศีลอดของนางต้องเสียไป  ดังนั้นคำตอบก็คือตามปกติแล้วการถือศีลอดของนางจะมาหักห้ามเขาแสวงหาความ สุข   เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้การถือศีลอดของนางเสียไปและคำกล่าวของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า "โดยที่สามีของนางอยู่ด้วย" หมายถึง อยู่ในเขตเมือง(ที่เขาอาศัยอยู่)  แต่เมื่อสามีได้เดินทาง  ก็อนุญาตให้ภรรยาทำการถือศีลอดได้  เนื่องจากสามีไม่สามารถมาหาความสุขได้ หากนางไม่ได้อยู่พร้อมกับสามี" ดู ชัรฮ์ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 3 หน้า 65
ข้อ 5 ห้ามสตรีอวดความสวยงามต่อหน้าบรรดาบุรุษ
เพราะอัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสความว่า
"พวกเธอและอย่าได้โออวดความงาม  เช่น การอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน" อัลอะหฺซาบ 33
รายงาน จากอบูฮุรอยเราะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ความว่า  ท่านนบีซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า "บุคคลสองประเภทที่อยู่ในนรก  ซึ่งฉันไม่เคยเห็นทั้งสองมาก่อนเลยคือ  กลุ่มชนที่ถือแซ่ที่เหมือนกับหางวัวซึ่งพวกเขาจะใช้ตีบรรดาผู้คนทั้งหลาย  บรรดาสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าคับทำให้มองเห็นเรือนร่าง  สตรีที่ปฏิบัติตนให้เป็นจุดเด่นชักจูงหญิงอื่นให้คล้อยตามด้วย สตรีที่ออกนอกลู่ทาง (ไม่ทำตามคำสั่งของอัลเลาะฮ์)  สตรีที่เกล้าผมไว้ด้านหลังดูเหมือนตระโหนกอูฐ  ซึ่งพวกนางเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์  พวกนางจะไม่ได้พบแม้กลิ่นหอมของสวรรค์และกลิ่นหอมของสวรรค์นั้นมีระหว่างทาง เท่านี้เท่านั้น" รายงานโดย มุสลิม
บรรดา พี่น้องสตรีโปรดจงพิจารณาถึงสัญญาลงโทษที่รุนแรงและการลงโทษที่แสนเจ็บปวด นี้  สำหรับสตรีที่อวดความงามของตนต่อหน้าบรรดาชายอื่น  หากแม้นว่าพวกนางจะระเริง  ภูมิใจ  แต่โลกหน้านางจะมีความโศกเศร้าเสียใจซึ่งมันเป็นสาเหตุห้ามจากการเข้าสรวง สวรรค์และต้องลงในนรกอันลุกโพรง
ดัง นั้นเธอจงพึงระวังจากการอวดโฉมความสวยงามต่อหน้าชายอื่นไม่ว่าจะด้วยการคลุม ฮิญาบที่ถูกต้องตามหลักของศาสนาหรือใส่น้ำหอมโดยให้ผู้ชายได้รับกลิ่นหอม นั้น  เพราะทุก ๆ จากสิ่งดังกล่าวจะทำให้ได้รับโทษในวันกิยามะฮ์
ข้อ 6 ห้ามขอดุอาอ์ให้ประสบความวิบัติแก่บุตรหลาน
รายงานท่านญาบิร บิน อับดิลลาฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  เขากล่าวว่า  ท่านร่อซูลุเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า
"พวก ท่านอย่าขอดุอาอ์ให้ประสบความหายนะแก่ตัวของพวกท่าน  และพวกท่านอย่าขอดุอาอ์ให้ประสบความหายนะแก่บรรดาบุตรของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอดุอาอ์ให้ประสบความหายนะแก่ทรัพย์สมบัติของพวกท่าน   โดยที่พวกท่านอย่าขอดุอาอ์จากให้ตรงกับเวลาหนึ่งจากอัลเลาะฮ์  ที่การมอบให้(ขอพระองค์)ได้ถูกขอให้เวลานั้น  แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบรับให้กับพวกท่าน"  รายงานโดย มุสลิม
หะ ดิษอันมีเกียรตินี้ได้อธิบายแก่เราว่า  มีช่วงเวลาหนึ่งที่มีเกียรติซึ่งดุอาอ์จะถูกตอบรับ  ดังนั้น เราจึงถูกห้ามจากการขอดุอาอ์ให้ประสบความวิบัติแก่เรา , บรรดาบุตรของเรา  , และบรรดาทรัพย์สินของเรา  ,  เพื่อดุอาอ์ดังกล่าวของเราจะไม่ไปตรงกับช่วงเวลาที่ถูกตอบรับ   ดังนั้น  เมื่อดุอาอ์ดังกล่าวของเราถูกตอบรับ  ความวิบัติก็จะมาประสบแก่เราด้วยเหตุดังกล่าว
อาจ จะมีมารดาบางท่านอาจจะว่ากล่าวในเชิงขอดุอาอ์แก่บรรดาลูก ๆ ของนาง   โดยที่นางอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เกิดความหายนะแก่บรรดาลูก ๆ ของนาง  แต่ลิ้นมันพลาดไปเท่านั้น   และกรณีเช่นนี้  นักปราชญ์กล่าวว่ามันเป็นคำแก้ตัวที่น่ารังเกียจมากกว่าทำ 1 บาปเสียอีก  เพราะว่ามีหะดิษห้ามจากการขอดุอาอ์ให้ตกแก่บรรดาลูก ๆ   ดังนั้นจึงจำเป็นแก่ผู้เป็นมารดาอย่ากล่าวถ้อยคำที่อยู่ในเชิงขอดุอาอ์ให้ ประสบแก่บุตรชายและหญิงของนาง   ไม่ว่านางจะมีเจตนาที่ไม่ดีหรือดีก็ตาม
ข้อ 7 ห้ามเปิดเผยความลับการร่วมสุขระหว่างสามีภรรยา
ท่านอบู สะอีดอัลคุดรีย์ได้รายงานว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ซอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า
"ผู้ ที่มีตำแหน่งชั่วช้าที่สุด ณ ที่อัลเลาะฮ์  ในวันกิยามะฮ์นั้น คือ  สามีได้สัมผัส(ร่วมเสพสุข)กับภรรยาของเขาและภรรยาของเขาได้สัมผัส(ร่วมเสพ สุข)กับเขา  หลังจากนั้นความลับของนางได้ถูกเปิดเผย" รายงานโดย มุสลิม
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ กล่าวว่า
"ใน หะดิษนี้ห้ามสามีเปิดเผยการเสพสุขระหว่างเขาและภรรยาและพรรณนารายละเอียดดัง กล่าว  และห้ามเปิดเผยดังกล่าวที่เกี่ยวกับภรรยาไม่ว่าจะเป็นคำพูด  การกระทำ หรืออื่น ๆ"  ชัรหฺซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 3 หน้า 610
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า  การสัญญาลงโทษนี้  ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ผู้เป็นสามีเท่านั้น  แต่ยังครอบคลุมถึงภรรยาด้วยเช่นกั
ข้อ 8 ห้ามสตรีทำการใช้จ่ายทรัพย์สินของสามีนอกจากได้รับการอนุญาตเสียก่อน
รายงานอบูอุมามะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุว่า  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า
"ฉัน ได้ยินท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ให้สุนทรพจน์ในปีฮัจญ์อำลาว่า  สตรีจะไม่ทำการใช้จ่ายสิ่งใดจากบ้านของสามีของนาง  นอกจากได้รับการอนุญาตจากสามีของนางเสียก่อน" หะดิษนี้  หะซัน รายงานโดย อบูดาวูด หะดิษที่ 3565 , และท่านอัตติรมีซีย์  หะดิษที่ 670 
หะ ดิษนี้ชี้แนะให้เราทราบว่า   มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภรรยาต้องขออนุญาตในการใช้จ่ายทรัพย์สินของผู้เป็น สามี  และเป้าหมายของการใช้จ่ายตรงนี้  หมายถึง  ใช้จ่ายทรัพย์ในหนทางที่ถูกต้องตามหลักศาสนา  เช่น  ซะกาต  บริจาคทาน  ใช้จ่ายเพื่อสนองความต้องการ  ช่วยผู้ที่เดินทางผ่านมา  หรือผู้ที่ขัดสน
ดัง นั้น  เมื่อนางได้ทำการใช้จ่ายไปตามหลักการที่ศาสนาส่งเสริมจากทรัพย์สินของสามี เหล่านี้  โดยได้ขออนุญาตแล้ว  แน่นอนนางก็จะได้รับผลบุญในการเฉกเช่นเดียวกันกับผู้เป็นสามี
ข้อ 9 ห้ามสตรีทำการ  สัก  ถอนขนที่ใบหน้า และถ่างฟัน 
ท่านอิบนุมัสอูด รายงานว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
لعن الله الواشمات والمستوشمات, والناصمات والمتنمصات, والمتفلجات للحسن, المغيرات خلق الله
"อัลเลาะฮ์ ทรงสาปแช่ง ผู้หญิงที่ทำการสัก และใช้ให้ทำการสัก ผู้หญิงที่ขจัดขนบนใบหน้าและผู้หญิงที่ขอให้ขจัดขนบนใบหน้า ผู้หญิงที่ถ่างช่วงระหว่างฟันเพื่อความสวยงาม ซึ่งพวกนางเป็นผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะฮ์..." รายงานโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม
การ ขจัดขนบนใบหน้า ย่อมครอบคลุมถึง ขนคิ้วด้วยเช่นกัน ท่านอิมามอันนะวาวีย์กล่าวว่า "การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่หะรอม นอกจาก ผู้หญิงที่มีเคราและหนวดงอกขึ้นมา ดังนั้น จึงไม่หะรอมที่จะขจัดมันออกไป ยิ่งกว่านั้น ยังถือว่าเป็นสุนัตให้ขจัด(เคราและหนวดของสตรี)ตามทัศนะของเรา(มัซฮับชาฟิอี ย์)...และแท้จริง การห้ามนั้นคือการขจัดขนคิ้วและบริเวณใบหน้า" ดู ชัรหฺซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 7 หน้า 361 หะดิษที่ 2125
การ ถูตัดฟันและการถ่างช่องระหว่างฟัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หะรอม เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานมาและท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามไว้
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
وَلَآمُرَنَّهُمْ فَلَيُغَيِّرُنَّ خَلْقَ اللَّهِ
"แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้าง" อันนิซาอ์ 119
ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่าอัลเลาะฮ์ทรงแช่งสตรีต่อไปนี้
والمتفلجات للحسن المغيراتِ خلقَ الله
"บรรดา สตรีที่ทำการถ่างช่องระหว่างฟันเพื่อความสวยงาม คือผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงสร้าง" รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม
แต่การตัดฟันหรือถ่างช่องฟันเพื่อการรักษาหรือปกปิดลักษณะที่น่าเกลียด  ย่อมไม่เป็นไรเนื่องจากการห้ามนั้นเพื่อความสวยงาม 
ท่านอิมามอันนะวาวีย์  กล่าวว่า
"ใน หะดิษนี้ชี้ถึงการห้ามนั้นคือสิ่งที่ถูกกระทำเพื่อความสวยงาม  ถ้าหากสตรีท่านหนึ่งมีความต้องการที่จะเยียวยาหรือปกปิดข้อตำหนิของตนและ อื่น ๆ  ก็ถือว่าไม่เป็นไร" ดู ชัรหฺซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 7 หน้า 361

0 ความคิดเห็น: