นานเท่าไหร่???(เป็นเรืองราวของเด้กผูัหญิงทีไปเรียนนอกบ้านและแล้ว.....?)

ความเข้มแข็งของ ฉันลดน้อยลงเมื่อมองภาพตรงหน้ากับความรู้สึกสังเวชขึ้นในจิต ร่างกายที่นอนเหยียดยาวบนเก้าอี้ยาวอย่างคนสิ้นแรงกับจังหวะลมหายใจยาวๆ บนใบหน้าที่ถูกครอบคลุมด้วยเงาอันบ่งบอกถึงความรู้สึกบางอย่างที่กำลังประสบ อยู่จนปรากฏเป็นความหมองคล้ำคล้ายหน้าของคนที่กรำแดดกรำฝนมานาน

สองตาคู่นั้นที่แห้งผากให้ความรู้สึกอย่างคนสิ้นหวังท้อแท้ความยุ่งยากและ สับสนฉายออกมาผ่านแววตาที่ใครพบเห็นย่อมเข้าใจได้ทันทีว่ามันคือแววตาของ ความทุกข์

ใช่แล้ว เธอกำลังถูกความทุกข์เข้าครอบงำจิตใจ

นานเท่าไหร่แล้วที่เธอเวียนว่ายจมอยู่กับสถานะนี้เหมือนมันเป็นเครื่อง พันธนาการตัวเธอให้ไม่มีวันได้ปลดแอกจากตรงนี้ได้ ความคิดของเธอตอนนี้คงสับสนกับหลายสิ่งหลายสิ่ง ไม่มีทางออกแม้แต่หลืบเดียวให้เธอได้หลุดพ้นจาความทุกข์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ได้ ผลพวงจากการตัดสินใจอย่างชั่ววูบเพียงครั้ง มันกลายเป็นลูกโซ่ที่ร้อยเรียงชีวิตเธอให้ประสบแต่ความผิดพลาดอย่างต่อ เนื่อง

ย้อนอดีตไปเมื่อหลายปีก่อน เธอเป็นนักศึกษาสถาบันแห่งหนึ่ง ท่ามกลางสังคมรอบข้างที่เป็นกาฟีร ความหันห่างจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ เกราะป้องกันที่ครอบครัวเธอได้พร่ำสอนอยู่เสมอมาป่านนี้มันได้หายไปจากจิต ใต้สำนึกของเธอเสียแล้ว

"มาอยู่ข้างนอกแล้ว ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นน่ะ ละหมาดอ่านกรุอ่าน ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้มากๆ อยู่ไกลป๊ะม๊ะ แต่ไม่ไกลจากอัลลอฮฺนะลูก" เป็นคำสั่งเสียในวันที่พ่อแม่เธอพามาส่งที่หอพัก

เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่ตั้งแต่จากนี้ไปเธอต้องออกมาใช้ชีวิตนอก บ้าน ห่างไกลจากครอบครัว เธอมาที่นี่ตามหน้าที่ของผู้เป็นลูกที่ต้องเรียนเพื่อให้ได้ซึ่งวุฒิบัตรอัน เป็นความภาคภูมิใจของผู้เป็นพ่อแม่ที่ให้ความหวังในตัวลูกสาวสุดที่รักว่า สักวันหนึ่งจะนำความสำเร็จมาอวดเขาได้ และเธอเองก็ตั้งใจอย่างเต็มที่กับหน้าที่นี้

ด้วยความที่เธอเป็นคนใฝ่เรียนมาตลอด ผลการเรียนอยู่ในระดับที่ 1 ของห้อง ดีกรีความเป็นนักเรียนทุนเรียนดีตลอดช่วงการเรียนที่ผ่านมา ทำให้เธอได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวเป็นอย่างมาก

การเรียนที่ใหม่ในช่วงแรกเป็นไปด้วยการแข่งขัน เธอไม่เคยเบื่อหน่ายกับมันเลย สองปีผ่านไปเธอยังคงรักษาตำแหน่งได้อย่างไม่ตกอันดับ ทุกคนในครอบครัวภาคภูมิใจในตัวเธอมากและหวังในความสำเร็จของเธอที่จะนำมัน กลับมาให้ เข้าสู่ปีที่สามความหวังและการรอคอยของพ่อแม่ยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม เหลือเพียงอีกปีกว่าๆ ลูกสาวของเขาจะกลับมาพร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ น้ำตาแห่งความตื้นตันจะช่วยชำระล้างความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานเพื่อหาเงิน ส่งให้เรียนตลอดสี่ปีให้หมดสิ้นไป

การศึกษาประจำปีที่ 3 ดำเนินไปจนเข้าสู่ช่วงสอบมิดเทอม อีกสองเดือนจะเข้าสู่การสอบปลายภาคและเมื่อเสร็จสิ้นการสอบเธอจะกลับไป เยี่ยมบ้านตามปกติ แต่ครั้งนี้เธอได้สร้างความประหลาดใจให้กับทางบ้านเมื่อเธอกลับมาในช่วงที่ ไม่ใช่เวลาปกติที่เธอจะกลับได้ และที่สำคัญเธอไม่ได้มาคนเดียว คนที่ยืนเคียงข้างเธอตอนนี้เป็นผู้ชายหน้าตาไม่คุ้นและพ่อแม่เธอก็ไม่อาจเดา ได้ว่าเขาเป็นใคร

“นี่แฟนหนูค่ะ”

ความรู้สึกสับสนมึนงง และเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางใจผู้เป็นพ่อเป็นแม่หลังจากได้ทราบเรื่องราวความ เป็นไปของลูกสาวผู้ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทั้งสองได้ให้ความไว้วางใจจนแทบ ไม่เหลือไม่ช่องวางให้ทำใจยอมรับกับความผิดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่ คาดคิด

ลูกสาวของเขาเดินทางไปเรียนไกลบ้านด้วยความมุ่งมั่นว่าจะคว้าปริญญามาให้ เขาทั้งสอง ลูกสาวผู้ที่ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้แก่เขาเลยตลอดเวลา 18 ปีที่อยู่ในสายตาพวกเขา ความภาคภูมิใจที่ผ่านมานั้นได้สร้างความไว้วางใจให้เขาทั้งสองชนิดที่ไม่มี ความระแวงสงสัยให้บังเกิดขึ้นในใจเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

ลูกสาวของเขาผู้ซึ่งมุ่งแต่การเรียนไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจเรื่องอื่นนอก เหนือจากนี้ เขาทั้งสองเชื่อว่าความรักความเข้าใจและความทุ่มเทของเขานั้นเพียงพอแล้วต่อ การที่จะควบคุมพฤติกรรมของผู้เป็นลูกได้ พวกเขาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนและการปลูกฝังวิชาการศาสนาทั้งจากเขาเองและจาก โรงเรียนศาสนาว่านั้นจะไม่ทำให้ลูกสาวของเขาหันเหออกไปสู่การกระทำที่เป็น การฝ่าฝืนบทบัญญัติของศาสนาได้

สามปีแห่งการรอคอยและวันนี้มันก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว คำมั่นสัญญากับปริญญาบัตรกลายสภาพเป็นปริญญาบุตรคือสิ่งที่เขาได้รับวันนี้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้มันพลิกผันได้ขนาดนี้ อัลลอฮฺทรงรู้ดี

การจำใจรับสมาชิกใหม่ในบ้านและพิธีการนิกะห์ให้ลูกสาวกับชายคนหนึ่งที่ เพิ่งหัดกล่าวคำว่า “อัชฮาอุอันลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ วะอัชฮาดุอันนามุฮัมมาดัรรอซูลลุลลอฮฺ” ทุกอย่างคือความประสงค์ของอัลลอฮฺพวกเขายอมรับกับสิ่งนี้ และหน้าที่ต่อไปคือการปลูกฝังความเป็นมุสลิมให้กับสามีของลูกสาว

ร่างกายที่นอนเหยียดยาวบนเก้าอี้ยาวอย่างคนสิ้นแรงกับจังหวะลมหายใจยาวๆ ยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้า สายตาที่มองผ่านประตูเผชิญกับแสงแห่งความร้อนในเดือนเมษาคู่นั้นฉายแววความ ท้อแท้สิ้นหวังกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ เธอยังคงค้นหาคำตอบความเป็นไปของโลกนี้ ด้วยความมืดมัวทางความคิด เปรียบตัวเธอได้กับบ้านที่ขาดเสาไว้เป็นหลักยึด

สิบกว่าปีมาแล้วกับสภาพของผู้ที่ลืมอัลลอฮฺ 10 กว่าปีกับการห่างในเรื่องของอามั้ลอิบาดะห์ ศาสนกิจประจำวันที่เธอได้เคยปฏิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่องขาดหายไปกับการใช้ ชีวิตนอกบ้านที่ห่างไกลจากผู้ปกครอง ความศรัทธาของเธอเป็นเพียงวัฒนธรรมประเพณีที่ใคร่จะทำหรือไม่ทำนั้น ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผิดบาปบังเกิดขึ้นในใจเลยแม้แต่น้อย

“มีอะไรถึงมายืนจ้องหน้า” เธอหันมากล่าวเสียงแข็งเมื่อรู้ว่ามีฉันเดินเข้ามา

“มานานแล้วเหรอ”ฉันถามไปอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นแววตาคู่นั้นที่ยังคงสภาพ เดิม เธอไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยิ่งปรากฏชัดความรู้สึกสับสนบนใบหน้ามากขึ้นทุกที

สภาพการณ์อย่างที่เคยเป็นและจะยังคงเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งฉันและพ่อแม่ได้รับรู้มันจนชาชิน คราใดที่เธอกับสามีทะเลาะกัน นั่นหมายความว่าในบ้านนี้จะแวดล้อมด้วยสมาชิกที่เพิ่มขึ้นจากเสียงหัวเราะ ร้องไห้และเล่นเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ที่เธอหนีปัญหาที่เกิดขึ้นกับสามีด้วยการหอบผ้าและลูกๆ กลับมายังบ้านนี้

ความรู้สึกเห็นใจและโอนอ่อนผ่อนตามเกิดขึ้นกับพวกเรา หลังจากคำพร่ำพรรณนาถึงพฤติกรรมแย่ๆ ไหลพรั่งพรูออกมาจากปากเธอ สุภาษิต เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เป็นจริงอย่างโบราณว่าไว้ พวกเราไม่เคยระแวงสงสัยหรือตำหนิตัวเธอเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ตรงข้ามกลับยอมรับและสงสารในชะตากรรมที่เธอได้รับอันเกิดจากการกระทำอัน บัดซบจากผู้ชายที่ครั้งนึงเธอเคยดื้อดึงและดึงดันต้องการได้มาเป็นสามี แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยจากหลายฝ่ายและแม้แต่น้ำตาของบุพการีที่ยับยั้งห้ามปราม ในครั้งนั้น กลับกลายเป็นแค่คำพูดลอยลมอย่างที่เธอไม่ใส่ใจจะรับฟัง

“จะไปว่าเขาไม่ได้ ในเมื่อตัวเราเองก็ไม่ละหมาด ไม่เคยอ่านอัลกุรอานให้เขาเห็น อย่างนี้จะให้เขาเข้าใจอิสลามได้ยังไง ในเมื่อคนใกล้ตัวเขาเองก็อยู่สภาพไม่ต่างกัน”

ฉันจำได้ว่าแม่พูดประโยคนี้มาตลอดทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้นระหว่างลูกสาว กับสามี และหลายๆคำแนะนำตักเตือนที่ออกมานั้นมิได้ทำให้เธอสะทกสะท้านและสำเหนียกใน ความผิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ ครั้งเธอก็ยังกล่าวโทษสามีและแม้กระทั่งพาลมาถึงพ่อแม่ในเชิงที่ว่าทุกคนทอด ทิ้งไม่ให้การเหลียวแลปล่อยให้เธอเผชิญกับชะตากรรมแต่เพียงลำพัง

“ลูกๆ ทั้งสอง พวกเราก็ช่วยเลี้ยงมาตลอด เพราะไม่อยากให้เด็กมันไปอยู่กับกาเฟรฺ ยังไงก็หลานเรา ต้องปลูกฝังอีมานตั้งแต่เด็ก ให้อยู่ซะที่นี่แหละ ได้เรียนกุรอ่าน เรียนฟัรฎูอีน อย่าให้ไปเกลือกกลั้วกับพวกปฏิเสธแบบนั้น”พี่สาวคนโตเธอโพล่งขึ้นเมื่อความ รู้สึกที่อัดอั้นจนสุดกลั้นนั้นไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป เธอทราบดีถึงสันดานของน้องสาวตัวเองว่าต่อให้ช่วยเหลือมากมายแค่ไหน มันก็เป็นเพียงผงขี้เถ้าที่น้องเธอไม่เคยเห็นคุณค่าถึงความดีของคนในครอบ ครัว หลายต่อหลายครั้งที่น้องสาวเธอหอบผ้ามาและลูกๆ มาร้องไห้กับเธอและพ่อแม่นั้นการอ้าแขนรับและให้ความช่วยเหลือในเรื่องการ เงินตลอดจนเครื่องอุปโภคทั้งหลาย เป็นไปตามครรลองของผู้มีสายเลือดเดียวกัน

“เป็นอย่างนี้มากี่ปีแล้ว อยู่กันจนมีลูก 3 มีปัญหาก็กลับมาหาเรา ให้ความรักความช่วยเหลือกันมาเท่าไหร่ไม่มีคุณค่า พอดีกันก็ลืมพวกเราหมด กลับไปเกลือกกลั้วกับสิ่งโสมมแบบนั้นอีก สงสารเด็กๆ พ่อกินเหล้าทุกวัน เมาก็ซ้อมแม่ แม่ไม่ละหมาด ไม่อ่านกุรอาน วันดีคืนดีก็พาลูก ๆ ไปหาย่าหาญาติที่เป็นกาเฟรฺ มาทางเราเราจับให้ละหมาดอ่านกุรอาน ไปทางนั้นย่ามันจับสวดมนต์ไหว้พระ จะโทษใครเขาได้ จะไปว่าสามีเขาก็ไม่ได้ พี่เองยังไม่รักตัวเองเลย ไม่รักอัลลอฮฺ ไม่นึกถึง ได้ดีก็ลืม มีทุกข์ก็ลืม ชีวิตไม่ใช่ของเรา แต่เราเลือกทำดีได้ อัลลอฮฺจะตอบแทนผลพวงจากการกระทำของเรา ที่แย่จนทุกวันนี้ คิดได้ยังว่าเพราะเราเลือกทำดีหรือทำชั่ว”

เธอได้ยินประโยคคล้ายๆ กันนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้หัวใจเธอมืดบอดเกินที่จะซาบซึ้งและรู้สำนึกถึงความหมายของมันไป เสียแล้ว เธอคิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวเธอเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกครอบครัวหลีกเลี่ยงไม่ พ้น ตัวเธอและสามีเป็นผู้สร้างเรื่องยุ่งยากในชีวิตก็ย่อมเป็นเธอและสามีที่จะ ขจัดความยุ่งยากนี้ออกไปได้เช่นกัน เธอคิดว่าไม่มีใครมากำหนดชีวิตของเธอได้นอกจากตัวของเธอเอง พ่อแม่พี่น้องคือเยื่อใยที่เชื่อมต่อกับเธออย่างไม่มีวันตัดขาด เฉกเช่นเธอกับสามีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาถึง 10 กว่าปี เพียงแค่เขายอมขอโทษและมารับตัวเธอกลับไป เธอก็ไม่ลังเลที่จะกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับเขา ถึงแม้พ่อแม่พี่น้องเธอจะรังเกียจสภาพความเป็นอยู่ของเธอและสามีก็ตาม

เสียงหัวเราะปนโหวกเหวกของเด็กๆแว่วมาตามลมกระทบเข้าหูฉันซึ่งกำลังเขียน ไดอารี่อยู่บนชั้นสองของบ้านทำให้ฉันตัดสินใจวางปากกาปิดสมุดทันทีและรีบไป ยังชั้นล่างซึ่งมันก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ที่ห้องนั่งเล่น มันเป็นภาพเดิมๆที่ไม่เคยเปลี่ยนมาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี

ความเข้มแข็งของฉันลดน้อยลงเมื่อมองภาพตรงหน้ากับความรู้สึกสังเวชขึ้นใน จิต ร่างกายที่นอนเหยียดยาวบนเก้าอี้ยาวอย่างคนสิ้นแรงกับจังหวะลมหายใจยาวๆ บนใบหน้าที่ถูกครอบคลุมด้วยเงาอันบ่งบอกถึงความรู้สึกบางอย่างที่กำลังประสบ อยู่จนปรากฏเป็นความหมองคล้ำคล้ายหน้าของคนที่กรำแดดกรำฝนมานาน สองตาคู่นั้นที่แห้งผากให้ความรู้สึกอย่างคนสิ้นหวังท้อแท้ความยุ่งยากและ สับสนฉายออกมาผ่านแววตาที่ใครพบเห็นย่อมเข้าใจได้ทันทีว่ามันคือแววตาของ ความทุกข์ ใช่แล้ว เธอกำลังถูกความทุกข์เข้าครอบงำจิตใจ

“เฮ้อ !” ฉันถอนหายใจรู้สึกละเหี่ยใจกับมันจนกลายเป็นความเบื่อหน่าย ตัวละครเดิม ๆ บทเดิมๆ ตอนจบที่ฉันรู้ดีว่าจะลงเอยยังไง มันเหมือนฟิล์มหนังเก่าๆ ที่เอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก และไม่อยากจะอยู่ร่วมฟังคำสบถด่าถึงสามีพร้อมๆ กับน้ำตาที่แสดงถึงความเสียอกเสียใจอย่างหนัก คำว่ากล่าวสั่งสอนจากผู้เป็นพี่สาว และคำแนะนำตักเตือนจากพ่อแม่เมื่อสมัยสิบกว่าปีที่แล้วตลอดมาถึงวันนี้ก็ยัง คงปรากฏให้ได้ยินอยู่อย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อให้เผชิญกับบททดสอบ และตัวฉันเองก็กำลังเผชิญอยู่กับการงานนี้พร้อมๆกับพ่อแม่และพี่น้องของฉัน ทุกๆปัญหาย่อมมีทางแก้ อัลลอฮฺ(ซบ) จะทรงให้ทางออกแก่ผู้ที่ยำเกรง อีมาน(การศรัทธา) ยากีน(การเชื่อมั่น) อิคลาศ (จริงใจ) ตะวักกัล( มอบหมาย) ซูโกรฺ (ขอบคุณ)เป็นกุญแจปลดเปลื้องให้พ้นจากความทุกข์ที่ครอบงำ ศรัทธาต่อคุณลักษณะของอัลลอฮฺ เชื่อมั่นในผลการตอบแทน จริงใจในการเข้าหา มอบหมายแด่พระองค์ การกล่าวขอบคุณซึ่งการสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺอันเป็นพระ เจ้าแห่งสากลโลก หลักคุณธรรมในอิสลามนี้หากไม่มีในจิตใจของผู้ศรัทธา ผู้นั้นย่อมประสบแต่ความทุกข์ระทมอย่างยากที่จะคลาย

ฉันมองดูเด็กๆ ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย พวกเขาคือผ้าขาวที่บริสุทธิ์ง่ายต่อการเปรอะเปื้อนสิ่งสกปรก ด้วยวัยที่กำลังเรียนรู้ พฤติกรรมของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ล่อแหลมต่อการนำพาพวกเขาว่าจะเดินไปในทางใด

“ตอลิบ ฟูรอ เข้าบ้านได้แล้ว อาบน้ำเตรียมตัวละหมาด แล้วมาเรียนอัลกุรอ่านกับจิ๊น่ะ” ฉันกวักมือเรียกเด็กๆที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกเล่นอยู่กับบรรดาเพื่อนๆตัว น้อย ก่อนจะผละมาที่ฉัน

“ทำไมต้องละหมาดต้องเรียนกุรอ่านด้วย”ตอลิบ หลานคนเล็กวัย 4 ขวบ ถามขึ้นด้วยแววตาอันใสซื่อตามประสา

“ก็เราเป็นมุสลิมน่ะ ตอลิบนับถือศาสนาอิสลามน่ะ ตอลิบเป็นมุสลิม ต้องละหมาด อ่านกุรอาน อัลลอฮฺจะได้รักไง”ฉันตอบพร้อมนึกขันในท่าทีที่ฉงนสนเท่ห์ของเขา

“ม๊ะกับเย๊าะไม่เห็นทำเลย”ฟูรอหลานคนโตถามขึ้นมาบ้าง เป็นคำถามที่ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกหนักอึ้งในสมองขึ้นอย่างบัดดล มันเป็นการยากสำหรับคำตอบที่ไม่ทำให้เกิดการกระแทกจิตใจของเด็กๆ การรับรู้ถึงการเป็นผู้ทรยศของพ่อแม่ในความคิดของเด็กวัย 4-8 ขวบนี้ มันยังไม่สามารถสร้างความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าเป็นความผิดบาปให้เกิดขึ้นในใจ พวกเขาได้

“ย่าก็ไม่ได้ทำ อาก็ไม่ได้ทำ คนที่บ้านย่าไม่ได้ทำ”

“แล้วพวกย่าสอนไหว้พระด้วย”

หลายต่อหลายคำถามจากปากหลานๆ ตัวน้อยมันเป็นโจทย์ที่ฉันต้องรับผิดชอบถึงหน้าที่นี้กับการปลูกฝังอีมานให้ กับพวกเขานั้น เป็นอามานะห์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ฉันและครอบครัวยังต้องรับมันตราบเท่าที่แรงและ ลมหายใจยังมีอยู่

ญะซากุมุลลอฮุคอยร็อน : www.deentoday.com

0 ความคิดเห็น: