จุดมุ่งหมายอันแท้จริงของการทำหัจญ์


อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกล่าวเกี่ยวกับเรื่องของการทำหัจญ์ไว้ในอัลกรุอานุลการีม หลายต่อหลายอายะฮฺ

(وَلِلهِ عَلَى النَّاسِ حِجُّ الْبَيْتِ مَنِ اسْتَطَاعَ إِلَيْهِ سَبِيلاً وَمَن كَفَرَ فَإِنَّ الله غَنِيٌّ عَنِ الْعَالَمِينَ) (آل عمران : 97 )

ความว่าและกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺเหนือมวลมนุษย์นั้น คือการทำ หัจญ์ อัลบัยต์ (บ้านของ อัลลอฮฺ) สำหรับ ผู้ที่มีความสามารถหาทางไปสู่มัน (บ้านหลังนั้น) ได้ และผู้ใดปฏิเสธ (การทำหัจญ์) แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงพอเพียงจากประชาชาติ ทั้งหลาย” (3:97)

(وَأَتِمُّواْ الْحَجَّ وَالْعُمْرَةَ لِلهِ فَإِنْ أُحْصِرْتُمْ فَمَا اسْتَيْسَرَ مِنَ الْهَدْيِ وَلاَ تَحْلِقُواْ رُؤُوسَكُمْ حَتَّى يَبْلُغَ الْهَدْيُ مَحِلَّهُ فَمَن كَانَ مِنكُم مَّرِيضاً أَوْ بِهِ أَذًى مِّن رَّأْسِهِ فَفِدْيَةٌ مِّن صِيَامٍ أَوْ صَدَقَةٍ أَوْ نُسُكٍ فَإِذَا أَمِنتُمْ فَمَن تَمَتَّعَ بِالْعُمْرَةِ إِلَى الْحَجِّ فَمَا اسْتَيْسَرَ مِنَ الْهَدْيِ فَمَن لَّمْ يَجِدْ فَصِيَامُ ثَلاثَةِ أَيَّامٍ فِي الْحَجِّ وَسَبْعَةٍ إِذَا رَجَعْتُمْ تِلْكَ عَشَرَةٌ كَامِلَةٌ ذَلِكَ لِمَن لَّمْ يَكُنْ أَهْلُهُ حَاضِرِي الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ وَاتَّقُواْ اللهَ وَاعْلَمُواْ أَنَّ اللهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ) (البقرة : 196 )

ความว่าและพวกเจ้าจงให้สมบูรณ์ ซึ่งการทำหัจญ์และการทำอุมเราะฮฺเพื่ออัลลอฮฺเถิด แล้วถ้า พวกเจ้าถูกสกัดกั้นก็ให้เชือดสัตว์พลีที่จะหาได้ง่าย และจง อย่าโกนศีรษะของพวกเจ้าจนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้วผู้ ใดในหมู่พวกเจ้าป่วยลง หรือมีความเจ็บปวดที่ศีรษะของเขา ก็ให้มีการชดเชยด้วยการถือศีลอด หรือการ ทำทานหรือการเชือดสัตว์ ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ถ้าผู้ใดประสงค์จะทำอุมเราะฮฺต่อเนื่องไปจนถึงเวลา ทำหัจญ์ (ตะมัต ตั๊วะ) แล้ว ก็ให้ เชือดสัตว์พลีที่พอหาได้ ผู้ใดที่หาไม่ได้ก็ให้ถือศีลอดสามวันในระหว่างการทำหัจญ์ และอีก เจ็ดวันเมื่อพวกเจ้ากลับถึงบ้านแล้ว นั่นคือครบสิบวัน ดังกล่าวนั้น สำหรับผู้ที่มิได้เป็นชาวมัสยิดิลหะรอม และพวก เจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และพึงรู้ด้วยว่าแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ” (2:196)

(الْحَجُّ أَشْهُرٌ مَّعْلُومَاتٌ فَمَن فَرَضَ فِيهِنَّ الْحَجَّ فَلاَ رَفَثَ وَلاَ فُسُوقَ وَلاَ جِدَالَ فِي الْحَجِّ وَمَا تَفْعَلُواْ مِنْ خَيْرٍ يَعْلَمْهُ اللهُ وَتَزَوَّدُواْ فَإِنَّ خَيْرَ الزَّادِ التَّقْوَى وَاتَّقُونِ يَا أُوْلِي الأَلْبَابِ) (البقرة : 197 )

ความว่า “(เวลาสำหรับ) การทำหัจญ์นั้นมีหลายเดือนเป็นที่ทราบกัน ดังนั้น ผู้ใดที่ให้การทำหัจญ์จำเป็นแก่เขาในเดือนเหล่านั้นแล้ว ก็ต้อง ไม่มีการสมสู่และไม่มีการละเมิด และไม่มีการวิวาทใด ในระหว่างการทำหัจญ์ และความดีใด ที่พวกเจ้ากระทำนั้นอัลลอฮฺทรงรู้ดี และพวก เจ้าจงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้นคือความยำเกรง และพวก เจ้าจงยำเกรงเถิด โอ้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย” (2:197)

(لَيْسَ عَلَيْكُمْ جُنَاحٌ أَن تَبْتَغُواْ فَضْلاً مِّن رَّبِّكُمْ فَإِذَا أَفَضْتُم مِّنْ عَرَفَاتٍ فَاذْكُرُواْ اللهَ عِندَ الْمَشْعَرِ الْحَرَامِ وَاذْكُرُوهُ كَمَا هَدَاكُمْ وَإِن كُنتُم مِّن قَبْلِهِ لَمِنَ الضَّآلِّينَ) (البقرة : 198 )

ความว่า ไม่มีโทษใด แก่พวกเจ้า การที่พวกเจ้าจะแสวงหาความกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใดจากพระเจ้าของ พวกเจ้า ครั้น เมื่อพวกเจ้าได้หลั่งไหลกันออกจากอะร่อฟาตแล้ว ก็จง กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ อัลมัชอะริลฮะรอม และจงกล่าวรำลึกถึงพระองค์ตามที่พระองค์ทรงแนะนำพวก เจ้าไว้ และแท้ จริงก่อนหน้านั้น พวกเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่หลงทาง” (2:198)

(ثُمَّ أَفِيضُواْ مِنْ حَيْثُ أَفَاضَ النَّاسُ وَاسْتَغْفِرُواْ اللهَ إِنَّ اللّهَ غَفُورٌ رَّحِيمٌ) (البقرة : 199 )

ความว่า แล้วพวกเจ้าจงหลั่งไหลกัน ออกไปจากที่ที่ผู้คนได้หลั่งไหลกันออกไป และจงขอ อภัยต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรง เมตตาเสมอ” (2:199)

(فَإِذَا قَضَيْتُم مَّنَاسِكَكُمْ فَاذْكُرُواْ اللهَ كَذِكْرِكُمْ آبَاءكُمْ أَوْ أَشَدَّ ذِكْراً فَمِنَ النَّاسِ مَن يَقُولُ رَبَّنَا آتِنَا فِي الدُّنْيَا وَمَا لَهُ فِي الآخِرَةِ مِنْ خَلاَقٍ) (البقرة : 200 )

ความว่า ครั้นเมื่อพวกเจ้าประกอบ พิธีหัจญ์ของพวกเจ้าเสร็จแล้วก็กล่าวระลึกถึงอัล ลอฮฺ ดังที่ พวกเจ้ากล่าวรำลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเจ้า หรือกล่าวรำลึกถึงให้มากยิ่งกว่า ในหมู่ มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเราโปรดประทานให้แก่พวกเราในโลกนี้เถิดและเขาจะไม่ ได้รับส่วน ดีใด ในปรโลก” (2:200)

(وِمِنْهُم مَّن يَقُولُ رَبَّنَا آتِنَا فِي الدُّنْيَا حَسَنَةً وَفِي الآخِرَةِ حَسَنَةً وَقِنَا عَذَابَ النَّارِ) (البقرة : 201 )

ความว่า และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเราโปรดประทานให้แก่พวกเราซึ่งสิ่งดี งามในโลกนี้ และสิ่งดีงามในปรโลก และโปรดคุ้มครองพวกเราให้พ้นจากความทรมานแห่งไฟนรก ด้วยเถิด” (2:201)

(أُولَـئِكَ لَهُمْ نَصِيبٌ مِّمَّا كَسَبُواْ وَاللهُ سَرِيعُ الْحِسَابِ) (البقرة : 202 )

ความว่า ชนเหล่านั้นแหละ พวกเขาจะได้รับส่วนดีจากสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ และอัล ลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน” (2:202)

(وَاذْكُرُواْ اللهَ فِي أَيَّامٍ مَّعْدُودَاتٍ فَمَن تَعَجَّلَ فِي يَوْمَيْنِ فَلاَ إِثْمَ عَلَيْهِ وَمَن تَأَخَّرَ فَلا إِثْمَ عَلَيْهِ لِمَنِ اتَّقَى وَاتَّقُواْ اللهَ وَاعْلَمُوا أَنَّكُمْ إِلَيْهِ تُحْشَرُونَ) (البقرة : 203 )

ความว่า และพวกเจ้าจงรำลึกถึงอัลลอฮฺในวันทั้งหลายที่ได้ถูกนับไว้ ดังนั้น ผู้ใดรีบกลับในสองวันก็ไม่มีบาปแก่เขา และผู้ใดกลับล่าไปอีกก็ไม่มีบาปแก่เขา (เช่นกัน) ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ยำเกรง และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺ และพึงรู้เถิดว่าพวกเจ้านั้นจะถูกนำไปชุมนุมยัง พระองค์” (2:203)

(وَأَذِّن فِي النَّاسِ بِالْحَجِّ يَأْتُوكَ رِجَالاً وَعَلَى كُلِّ ضَامِرٍ يَأْتِينَ مِن كُلِّ فَجٍّ عَمِيقٍ، لِيَشْهَدُوا مَنَافِعَ لَهُمْ وَيَذْكُرُوا اسْمَ اللهِ فِي أَيَّامٍ مَّعْلُومَاتٍ عَلَى مَا رَزَقَهُم مِّن بَهِيمَةِ الْأَنْعَامِ فَكُلُوا مِنْهَا وَأَطْعِمُوا الْبَائِسَ الْفَقِيرَ، ثُمَّ لْيَقْضُوا تَفَثَهُمْ وَلْيُوفُوا نُذُورَهُمْ وَلْيَطَّوَّفُوا بِالْبَيْتِ الْعَتِيقِ) (الحج : 27 - 29)

ความว่าและจงประกาศไปในหมู่มนุษย์ถึงเรื่องอัลหัจญ์เถิด พวกเขาจะ มายังสูเจ้าโดยการเดินเท้า และโดยการขี่อูฐที่เตรียมไว้ ซึ่งต่าง จะเดินทางมาจากทุกหนทางที่ห่างไกล เพื่อพวกเขาจะได้พบเห็นประโยชน์ต่าง สำหรับ พวกเขา และเพื่อ กล่าวพระนามอัลลอฮฺในวันที่เป็นรู้กันต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทาน เป็นริ ซกีของพวกเขาจากสัตว์เลี้ยง ดังนั้นพวกเจ้าจงกินส่วนหนึ่งของมัน และจงให้ เป็นอาหารแก่คนยากจนและคนอนาถา ภายหลังพวกเขาพึงขจัดสิ่งสกปรกของพวกเขา และพึง แก้บนของพวกเขาและพึงฏอว้าฟ อัลบัยติลอะตีก” (22:27-29)

อา ยาตอัลกุรอ่านที่ได้นำมากล่าวข้างต้นแจ้งให้เราทราบว่า อัลหัจญ์เป็นวายิบที่มุสลิม มุอฺมินทุกคนที่มีความสามารถทั้งทางกำลังร่างกาย กำลังทรัพย์ และความปลอดภัยในการเดินทาง จักต้องปฏิบัติครั้งหนึ่งใน ชีวิต ผู้ใดปฏิเสธว่าการทำหัจญ์ไม่ เป็นวายิบ หรือเป็นผู้ที่มีความสามารถ ตามคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้น แต่ไม่ยอมปฏิบัติเพราะเหตุใด เหตุหนึ่งก็ตาม จงเลือกเอาเถิดว่าเขาจะตายใน สภาพของชาวยิวหรือชาวคริสต์

ใน อายาตต่อมาได้กล่าวถึงวิธีการทำหัจญ์โดยสรุป สำหรับผู้ที่มี ความประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์หรือต้องการจะทราบโดย ละเอียด ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง สละเวลาเพื่อศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง และนำไปปฏิบัติศาสนกิจประเภท นี้ให้ตรงกับที่บัญญัติศาสนาได้ระบุไว้

ใน ระยะเดือนหัจญ์ บรรดาพี่น้องมุสลิมที่มี โอกาสได้ตอบรับการเรียกร้องของอัลลอฮฺตะอาลา ก็นับได้ว่า เป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานอย่างใหญ่หลวงจากพระองค์ จึงจำเป็นที่เขาจักต้องขอบ คุณต่อพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ให้มาก อย่าหลงลืมหรือกระทำตนเป็น ผู้เนรคุณต่อพระองค์เป็นอันขาด มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นบุคคล ที่พระองค์ทรงลืมเขาเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความอวิชชาของเขานั่นเอง เขาก็จะไม่ได้ดำเนินชีวิต อยู่ในวิถีทางอันชอบธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผลงาน ของเขาที่ได้ปฏิบัติมาแรมเดือนแรมปีก็จะพลอยสูญ เสียไปอย่างน่าเสียดาย

มุสลิม ทุกคนที่ได้มีโอกาสไปประกอบพิธีหัจญ์มาแล้วก็ดี ผู้ที่กำลังเตรียมตัวจะไปก็ ดี ย่อมรู้จักรุกุ่นต่าง ของการทำหัจญ์ แต่มีใครบ้างหรือถ้าจะมีก็ เป็นส่วนน้อยที่พิจารณาหรือตั้งข้อสงสัยแก่ตัวเอง เพื่อหาคำตอบที่จะนำพาตัวของ เราให้เกิดความศรัทธาอีมานต่ออัลลอฮฺตะอาลาให้ แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

บาง คนอาจจะถามว่าทำไมจึงต้องปฏิบัติศาสนกิจเช่นนี้ ซึ่งมีทั้งการสูญเสียเงินทอง และความยากลำบากนานาประการ? มีอะไรบ้างที่จะนำไปสู่ความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ? มีความหมายอย่างไรหรือที่มนุษย์จะต้องไปยังทุ่งอะร่อฟาตด้วย เครื่องแต่งกาย แบบเดียวกันทุกคน เพื่อพำนักเพียงชั่วเวลา หนึ่งหรือเพียงชั่วโมงหนึ่ง หน้าที่ของเขาที่จะปฏิบัติ ที่นั้นก็คือ การปฏิบัติเช่นเดียวกับ กิจวัตรประจำวันของมนุษย์ เป็นการพอเพียงแก่เขาที่จะไป ยังทุ่งอะรอฟาตโดยเตรียมที่พัก เพื่อนอน กิน และปฏิบัติละหมาด เช่นเดียวกับที่ได้เคย ปฏิบัติมา เป็นการพอเพียงเช่นเดียวกัน ที่เขาจะปรากฏตัวอยู่ ส่วนหนึ่งส่วนใดของสถานที่ แห่งนี้ก่อนตะวันตกดินในวันที่ 9 ของเดือนซุลฮิ จญะฮฺ ถึงแม้เพียงเวลาไม่กี่นาที แล้วก็ออกไป ทั้งนี้เพราะการทำหัจญ์นั้น คือการพักอยู่ที่อะร่อฟะฮฺ (الحجُّ عَرَفَة)

ทำไม ทุกคนจึงต้องปฏิบัติศาสนกิจเช่นนี้ ทำไมจึงต้องไปค้างแรมที่มินาทุ่งที่คับแคบ และเนืองแน่นไปด้วยฝูงชน เพื่อประกอบอิบาดะฮฺ ? เรามีความเข้าใจอย่างไรต่อการพักแรมในสถานที่อันคับแคบเช่นนี้ ? ซึ่งเป็นการพำนักเช่นเดียวกันกับที่ทุ่งอะร่อฟาต แต่อาจจะเปลี่ยนเครื่องแต่ง กายมาเป็นแต่งกายธรรมดาแล้วก็แออัดกันไปยังสถาน ที่ขว้างเสาหิน มือที่ชูนับจำนวนไม่ถ้วน เพื่อขว้างเสาหิน 7 ครั้งก็เป็นอันเสร็จพิธีใน วันแรก แล้วเขาก็กลับที่พักด้วยความ สงสัยในการปฏิบัติศาสนกิจเช่นนั้น!

ต่อ จากนั้นก็ลงไป ซะ อฺยุ (สะแอ)ระหว่างเขา อัศ ศ่อฟากับอัลมัรวะฮฺเราได้เดินระยะทางระหว่างเขาทั้งสอง ทั้งไปและกลับรวม 7 เที่ยว การอิบาดะฮฺเหล่านี้เป็นสิ่ง สำคัญหรือว่าเป็นแต่เพียงการรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญ ?

เมื่อ เรารู้จักหรือมีความเข้าใจในการปฏิบัติศาสนากิจบางอย่างว่าเป็น สัญลักษณ์ชนิดหนึ่งของการ ปฏิบัติศาสนกิจในอดีตตั้งแต่สมัยของท่านนะบีอิบรอ ฮีม อะลัยฮิสสลาม ความเข้าใจของเราเช่นนี้ไม่ เป็นการพอเพียงที่จะทำให้การปฏิบัติดังกล่าวเป็น สัญลักษณ์และการอิบาดะฮฺ ซึ่งหมายถึงว่าอัลลอฮฺตะอาลา ก็ต้องยกโทษหรืออภัยโทษให้แก่เราเมื่อได้ ปฏิบัติเช่น นั้น ดังนั้นอะไรเล่าที่หมายถึง การกระทำอิบาดะฮฺที่จะลบล้างความผิดของมนุษย์ เสมือนกับวันแรกที่เขาคลอด ออกมาจากครรภ์มารดา ?

ที่ ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเป็นการพอเพียงละหรือที่เราจะยอมรับตามคำกล่าว ของบรรดานักปราชญ์ทางอิสลาม (อัลฟุก็อฮาอฺ) ที่ว่าเป็นการงาน ตะ อั๊บบุดีคือเป็นคำใช้ของพระองค์ที่เราจักต้องปฏิบัติโดยไม่ต้องถาม หรือเป็นเรื่องของพระองค์ เท่านั้นที่เราไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงความหมายแท้ จริงได้ เราต้องไม่ลืมว่าพระผู้เป็น เจ้าของศาสนาหรือผู้บัญญัติศาสนาย่อมมีเหตุผล และจุดมุ่งหมายอยู่เบื้อง หลังการบังคับที่ยากลำบากเช่นนี้ แน่นอนทีเดียวที่ผู้บัญญัติ ศาสนาจักต้องมีความมุ่งหมายจากการปฏิบัติศาสนกิจ ประเภทนี้ ซึ่งผลของมันคือการตอบแทน อย่างใหญ่หลวงขนาดที่ไม่มีการอิบาดะฮฺอื่นใดได้รับ ส่วนแห่งการตอบแทน เช่นเดียวกับ อัล หัจญ์เพราะผู้ใดที่ประกอบการหัจญ์แล้ว เขาไม่สมสู่และไม่ละเมิดแล้วเขาจะกลับ (สู่มาตุภูมิอย่างผู้สะอาด บริสุทธิ์) ประดุจดังวันที่มารดาของเขา ได้คลอดเขาออกมาก็ถ้าเช่นนั้นอะไรเล่าคือจุด มุ่งหมายอันแท้จริง ?

จาก ประสบการณ์ของผู้ที่ได้ประกอบพิธีหัจญ์มาแล้ว ขอให้เรามาพิจารณาถึงจุดมุ่ง หมายอันแท้จริงนอกเหนือไปจากการกล่าวรำลึกถึง อัลลอฮฺ และการหวนกลับไปรำลึกถึงความ หลังในอดีตของท่านนะบีอิบรอฮีม และบุตรของท่านคือท่านนะบี อิสมาอีล อะลัยฮิมัสสะลาม เราจะพบว่าจุดมุ่งหมายที่ สำคัญนั้นคือ การอด ทนและปฏิบัติตาม

การอด ทนต่อความยากลำบากจากการเดินทางการโยกย้ายจากสถานที่ที่เคยได้รับความ สุขสบาย และความอบอุ่นเพียบพร้อมไป ด้วยญาติพี่น้อง และสิ่งที่จะอำนวยความสะดวก ให้แก่เขาทุกกาลเวลา ไปยังสถานที่ที่แตกต่างกับ สิ่งที่เขาเคยอยู่และพักพิงอาศัยมาแต่ก่อน สถานที่ที่แห้ง แล้งเต็มไปด้วยโขดหิน มีแต่ความร้อนเกือบตลอดปี ดังนั้นผู้ที่เดินทางจะต้อง ประสบกับความยากลำบากนานาประการ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะบรรเทา ความหนักใจของเขาได้นอกจากความศ่อบัรฺอดทน การอดทนอย่าง แท้จริง อดทนต่อความหนาแน่นและการ เบียดเสียดของผู้คน อดทนต่อสภาพของผู้ที่แข่งขัน กันหาความสะดวกสบายเพื่อตัวเอง อดทนต่อความกลัวที่ไม่เคย ประสบพบเห็นมาก่อน อดทนต่อการพำนักอาศัยอยู่ใน นครมักกะฮฺ เมืองที่เต็มไปด้วยความดี เด่นนานาประการ แต่ต้องคับแคบเพราะความคับ คั่งของมวลมนุษย์ที่หลั่งไหลมาจากทิศทางต่าง อดทนต่อการพำนักอยู่ในสถาน ที่ที่ไม่เคยพำนักอยู่ หรือบางทีก็เกิดความไม่พอใจ ถึงแม้จะเป็นประเทศของตนก็ตาม อดทนต่อการแก่งแย่งและการก่อ เหตุร้ายนานาชนิด เพราะผลประโยชน์หรือการ ปฏิบัติซึ่งกันและกัน ไม่อาจเข้ากันได้จากผู้ที่ เดินทางมาจากทิศทางต่าง แม้กระทั่งชาวมักกะฮฺเองซึ่ง เฝ้าคอยฤดูกาลของการทำหัจญ์ เพื่อประกอบอาชีพหรือเพื่อ แสวงหาผลประโยชน์ในระยะนั้น

ดัง นั้น ถ้าเราพิจารณาดูทุก ขณะของความเบียดเสียดของผู้ คนในเวลาประกอบพิธีหัจญ์ตลอดจนบรรยากาศในระยะ นั้นแล้ว เราก็จะทวีความเข้าใจความ มุ่งหมายที่อยู่เบื้องหลังของคำตรัสที่ว่า

(فَمَن فَرَضَ فِيهِنَّ الْحَجَّ فَلاَ رَفَثَ وَلاَ فُسُوقَ وَلاَ جِدَالَ فِي الْحَجِّ) (البقرة : 197 )

ความว่าดังนั้น ผู้ใดที่ได้ให้การทำหัจญ์จำเป็นแก่เขา ในเดือน เหล่านั้นแล้ว จะต้องไม่มีการสมสู่และไม่มีการละเมิด และไม่มี การทะเลาะวิวาทใด ในระหว่างการทำหัจญ์” (2:197)

และ เราก็จะเพิ่มความศรัทธาอีมานต่อพระผู้ทรงไว้ซึ่งภูมิปัญญา และรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ทรงบังเกิดมนุษย์มาแล้วก็ ให้ความเท่าเทียมกัน พระผู้ทรงหยั่งรู้ถึงสิ่งที่ ซ่อนเร้นอยู่ในทรวงอกของมนุษย์ทุกคน

นี่ คือการอดทน อดทนต่อความยากลำบากอดทนต่อ สภาพ และสิ่งที่ได้พบเห็น โดยมิได้เปิดปากพร่ำบนต่อ สิ่งไม่ดีงามที่ได้พบเห็นมาแก่ผู้ที่ยังไม่คยพบ เห็นมาก่อนแต่มีใครบ้างที่ สามารถปฏิบัติได้?

ความมุ่งหมายที่สำคัญอีก ประการหนึ่ง ก็คือ การ ปฏิบัติตามคือการยอมจำนนปฏิบัติตามคำใช้ของพระองค์โดยที่พระองค์มิได้เปิด เผยหรือชี้ แจงเคล็ดลับที่มีอยู่เบื้อง หลังงานนั้น เช่น การทำหัจญ์ เพราะการปฏิบัติงานชนิดหนึ่ง ชนิดใดซึ่งพระองค์เพียงแต่แจ้งให้ทราบว่าจะได้ รับการตอบแทนอย่างแน่นอน เราต้องมีความจงรักภักดี พร้อมทั้งมีความมั่นใจต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว อันนี้นับได้ ว่าเป็นการแสดงออกซึ่งสัญลักษณ์แห่งการเป็นบ่าวที่ดีของพระองค์ ยอมอดทนต่อความยากลำบากนานา ประการ โดยที่เขาไม่ทราบเคล็ดลับ ซึ่งจะทำให้เขาได้รับส่วนดีจากความยากลำบากดัง กล่าว ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าเข้า สู่ความยากลำบากนั้นด้วยความอดทน โดยหวังความโปรดปรานและ ยินยอมปฏิบัติตามด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้วข้าง ต้น เราอาจกล่าวได้ว่า จุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ของ การหัจญ์ก็คือการปฏิบัติตามคำใช้ของพระองค์เพียงองค์เดียว ซึ่งพระองค์ก็ได้ให้สัญญาไว้ แล้ว นอกจากนี้ยังมีความหมายอันดี งามอื่นจากนี้อีกมากมาย ซึ่งผู้ที่ได้ผ่านการทดสอบมา แล้วจะประสบพบเห็นด้วยตัวของเขาเอง แต่จะมีใครบ้างที่พินิจ พิจารณาถึงความหมายของการทำหัจญ์แล้วนำมาปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการ ดำเนินชีวิตของเขาบ้าง?

นอก เหนือจากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด เราจะต้องไม่ลืมว่าท่านร่อซู ลุลลอฮฺ ได้กล่าวย้ำและยืนยันหลังจาก ได้ปฏิบัติศาสนกิจทุกชนิดให้บรรดาศ่อฮาบะฮฺได้ เห็นเป็นตัวอย่างและยึดถือ เป็นแบบฉบับว่า

«خُذُواعَنِّي مَنَاسِكَكُم»

ความว่า ท่าน ทั้งหลายจงยึดเอาพิธีกรรมต่าง ของท่านจากฉันเท่านั้น

ดัง นั้น พึงทราบเถิดว่าการปฏิบัติ ศาสนกิจชนิดใดก็ตาม หากเรามิได้ยึดแนวทางของท่าน ร่อซูลุลลอฮฺ และบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุม เป็นแบบฉบับและบรรทัดฐานแล้ว แน่นอนทีเดียวกิจกรรมต่าง ที่เราได้เสียสละกระทำไปก็จะ ไม่บังเกิดผล และไม่เป็นที่รับรองว่าจะได้ รับการตอบแทน

ที่มา : หนังสือการทำหัจญ์และอุมเราะ ฮฺตามบัญญัติอิสลาม, อาจารย์อะหมัด ยูนุส สมะดี (ร่อหิมะฮุลลอฮฺ)

คัดลอกจาก: เว็บอิสลามอินไทยแลนด์ http://www.islaminthailand.org/dp6/?q=story/1178

1 ความคิดเห็น: