ชัยชนะแห่งการให้อภัย


https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7vPVze-T-jGnJ4JPSEhshTCvJA8t5d9fGslp8o2lpOG3UOerk-WMn83i35nT0NO9qLuO9RJ6uroQedtbsA_8LcioSBGaAQ6BES3mmUgmflQd6COcNDXKGp-BJfUBpKamd2CicgNaM1vjq/s320/maaf.jpg

บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน

พระเจ้าเป็นผู้ทรงคุณสมบัติแห่งการให้อภัย เมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ก็ได้ประทานคุณสมบัติดังกล่าวให้เป็นธรรมชาติติดตัวมนุษย์มาด้วย และเพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักการให้อภัยและเห็นถึงอานุภาพของมัน พระองค์จึงได้ประทานโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้คุณสมบัติอันดีงามนี้เป็นบางครั้งบางคราว ไม่ต่างอะไรไปจากหากให้เงินมาแล้ว แต่ถ้าไม่มีสินค้าให้ซื้อ เงินที่มีอยู่ก็เป็นแค่เพียงเศษกระดาษที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ผู้ได้เงินมา

ประวัติศาสตร์มีเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงความดีงามและอานุภาพแห่งการ ให้อภัยอย่างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวของบรรดานบีหรือศาสดาที่ถูก คัดเลือกมาเพื่อแสดงคุณสมบัติของพระเจ้าให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของมนุษย์

หลังจากที่นบีมุฮัมมัดเริ่มปฏิบัติภารกิจการเป็นศาสนทูตของพระเจ้าด้วยการประกาศว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ” ความนิยมชมชอบของชาวมักก๊ะฮฺที่มีต่อท่านก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังและการต่อต้านที่ทวี ความรุนแรงขึ้นทุกวันจนถึงขั้นมีการวางแผนลอบสังหารท่าน

แผนการร้ายดังกล่าวเริ่มต้นในกลางดึกของคืนหนึ่งโดยการที่มือสังหาร ของแต่ละตระกูลได้ไปดักรอที่หน้าประตูบ้านของท่านนบีเพื่อรอสังหารท่านทันทีที่ออกมาจากบ้านก่อนรุ่งอรุณ แต่พระเจ้าได้ดลใจให้ท่านรู้ถึงแผนการร้ายดังกล่าวเสียก่อน ท่านจึงสั่งให้อะลี ญาติของท่านไปนอนบนที่นอนของท่านแทนและท่านได้เล็ดลอดออกจากบ้านไปโดยที่กลุ่มมือสังหารไม่เห็น

มุสลิมเชื่อจากคำบอกเล่าว่าเป็นเพราะพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทำให้กลุ่มมือสังหารงีบหลับไปชั่วขณะหนึ่ง ท่านนบีจึงออกจากบ้านไปอย่างปลอดภัย หลังจากนั้นก็ตรงไปหาอบูบักร์ สหายสนิทของท่านซึ่งรอคอยอยู่พร้อมกับพาหนะและคนนำทาง

พวกหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺรู้สึกประหลาดใจและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าท่านนบีมุฮัมมัดสามารถเล็ดลอดหนีออกจากบ้านไปได้ ดังนั้น พวกเขาจึงเสนอที่จะให้อูฐ 100 ตัวเป็นรางวัลแก่ใครก็ตามที่สามารถ นำตัวท่านนบีกลับมายังมักก๊ะฮฺได้

เมื่อสุรอเก๊าะฮฺ ชาวอาหรับคนหนึ่งซึ่งมีความสามารถในด้านการแกะรอยได้ยินเช่นนั้น เขาก็ออกติดตามล่าตัวท่านนบีมุฮัมมัด ตามลำพังทันทีเพราะเขาไม่ต้องการแบ่งรางวัลให้แก่ใคร

เมื่อเขาแกะรอยตามเข้าไปใกล้จนแน่ใจว่าผู้ที่เขาติดตามอยู่นั้นคือนบีมุฮัมมัด ม้าของเขาก็ตกหลุมทรายจนเขาตกจากหลังม้า แต่หลังจากเขาช่วยม้าขึ้นมาจากหลุมทรายและขึ้นขี่ม้าต่อไปอีก ม้าของเขาก็ตกหลุมทรายอีก เป็นอย่างนี้อยู่สามสี่ครั้ง ดังนั้น สุรอเก๊าะฮฺจึงแน่ใจว่าคนที่เขาติดตามไล่ล่าอยู่นั้นคือนบีที่แท้จริงอย่างแน่นอน

เขาตะโกนเรียกท่านนบีและสารภาพว่าเขาออกติดตามล่าตัวท่านกลับไปยังมักก๊ะฮฺพร้อมกันนั้นก็ขออภัยท่านและสัญญาว่า เขาไม่เพียงแต่จะหยุดติดตามท่านเท่านั้น แต่จะช่วยขัดขวางคนที่ออกไล่ล่าท่านไม่ให้สามารถติดตามท่านด้วย

ท่านนบีได้ให้อภัยสุรอเก๊าะฮฺและวิงวอนขอพรให้แก่เขา คำขอพรของท่านทำให้ม้าของสุรอเก๊าะฮฺหลุดจากหลุมทราย สุรอเก๊าะฮฺจึงขึ้นหลังม้าเพื่อเดินทางกลับมักก๊ะฮฺ แต่ก่อนจะไป เขาได้ตะโกนไปยังท่านนบีว่า “เดี๋ยวก่อน ฉันอยากพูดกับท่านและฉันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายท่าน”

“จะพูดอะไรกับฉัน?” ท่านนบีถาม สุรอเก๊าะฮฺจึงกล่าวว่า “มุฮัมมัด ฉันรู้ว่าคำสอนของท่านจะเป็นที่แพร่หลายและฐานะของท่านจะสูงส่ง โปรดสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับฉันว่าท่านจะช่วยฉันเมื่อฉันไปหาท่าน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดจึงได้สั่งให้ผู้ติดตามท่านเขียนสัญญาตามคำขอร้องของสุรอเก๊าะฮฺ

ก่อนจะจากกัน ท่านนบีมุฮัมมัดได้พูดกับสุรอเก๊าะฮฺว่า “เจ้าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้สวมกำไลของคุสโร (จักรพรรดิแห่งเปอร์เซีย)?

“คุสโร ลูกชายของฮุรฺมุซนั่นหรือ?” สุรอเก๊าะฮฺถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ คุสโร ลูกชายของฮุรฺมุซ” ท่านนบีตอบ

หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากของทั้งสองฝ่ายอีก สุรอเก๊าะฮฺควบม้ามุ่งหน้ากลับสู่มักก๊ะฮฺและทำตามสัญญาที่เขาทำไว้กับท่านนบีโดยการบอกกลุ่มคนที่ไล่ติดตามท่านนบีให้เลิกติดตามได้แล้ว เพราะเขาไม่พบ ใครบนเส้นทางที่เขาผ่านมา

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นสิบปี สุรอเก๊าะฮฺได้เข้ามาเป็นสมาชิกประชาคมมุสลิมในมะดีนะฮฺ เมื่อท่านนบีเสียชีวิตลง เขารู้สึกเสียใจมากต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของท่านนบีเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ แต่ที่สำคัญก็คือเขายังติดใจคำพูดของท่านนบีที่ว่าเขาจะได้ใส่กำไลของคุสโร และท่านนบีก็ไม่มีโอกาสได้อธิบายว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นหมายถึงอะไร

แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน สิ่งที่ท่านนบีพูดไว้ก็เป็นจริง ในช่วงปลายสมัยของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ อาณาจักรเปอร์เซียได้ถูกพิชิตโดยกองทัพมุสลิมและเครื่องประดับอัญมณีมีค่ามากมายของจักรพรรดิคุสโรได้ถูกนำมายังมัสยิดที่มะดีนะฮฺ

ในตอนนั้นเองที่สุรอเก๊าะฮฺเพิ่งจะรู้ถึงความจริงที่ท่านนบีมุฮัมมัดพูดไว้เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนเมื่อเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺได้ขอให้เขาสวมเครื่องประดับของ คุสโรรวมทั้งกำไลข้อมือด้วย

0 ความคิดเห็น: