มารยาทและคุณลักษณะนิสัยของท่านนบี


ความยุติธรรมของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

มีรายงานจากท่านหญิงอาชิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ว่า :

أَنَّ قُرَيْشًا أَهَمَّهُمْ شَأْنُ الْمَرْأَةِ الْمَخْزُومِيَّةِ الَّتِي سَرَقَتْ...وفيه: فَكَلَّمَهُ أُسَامَةُ، فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : «أَتَشْفَعُ فِى حَدٍّ مِنْ حُدُودِ اللَّهِ». ثُمَّ قَامَ فَاخْتَطَبَ ، ثُمَّ قَالَ : «إِنَّمَا أَهْلَكَ الَّذِينَ قَبْلَكُمْ أَنَّهُمْ كَانُوا إِذَا سَرَقَ فِيهِمُ الشَّرِيفُ تَرَكُوهُ، وَإِذَا سَرَقَ فِيهِمُ الضَّعِيفُ أَقَامُوا عَلَيْهِ الْحَدَّ، وَأَيْمُ اللَّهِ، لَوْ أَنَّ فَاطِمَةَ بِنْتَ مُحَمَّدٍ سَرَقَتْ لَقَطَعْتُ يَدَهَا».

ความ ว่า ชาวกุร็อยชฺต่างพากันเป็นห่วงกรณีผู้หญิงตระกูลมัคซูมที่ขโมยของ ...(พวกเขาจึงไปขอร้องให้อุสามะฮฺ บิน ซัยด์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ช่วยพูดกับท่านนบีเพื่อไม่ให้ท่านลงโทษตัดมือ) อุสามะฮฺ บิน ซัยด์ ก็ไปพูด

ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงกล่าว(ตำหนิ)ว่า “เจ้าจะมาให้ความช่วยเหลือในบทลงโทษที่เป็นบทบัญญัติของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ?”

หลังจากนั้นท่านก็ได้ลุกขึ้นกล่าวเทศนาและกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ชนก่อนหน้าพวกเจ้าต้องล่มสลายไปก็เพราะว่า เมื่อพวกเขาเห็นคนชั้นสูงขโมยพวกเขาก็ปล่อยตัว แต่เมื่อคนธรรมดาต้อยต่ำขโมยพวกเขากลับลงโทษ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากว่า ฟาฏิมะฮฺ บุตรสาวของมุหัมมัดขโมย แน่นอนฉันก็จะตัดมือนาง“

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 3475 และมุสลิม : 1688)

ความสมถะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

1. จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า:

«اللَّهُمَّ ارْزُقْ آلَ مُحَمَّدٍ قُوتًا»

ความว่า “โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงโปรดประทานริซกีแก่ครอบครัวของมุหัมมัดเป็น(แค่เพียง)อาหารหลักด้วยเถิด”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 6460 และมุสลิม : 1055)

2. จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา กล่าวว่า :

مَا شَبِعَ آلُ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مُنْذُ قَدِمَ الْمَدِينَةَ مِنْ طَعَامِ بُرٍّ ثَلاَثَ لَيَالٍ تِبَاعًا حَتَّى قُبِضَ.

ความว่า “ครอบ ครัวของนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไม่เคยกินอิ่มจากอาหารแป้งสามคืนติดต่อกันเลย นับตั้งแต่ระยะเวลาที่ท่านมาอยู่มะดีนะฮฺจนถึงท่านเสียชีวิต”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 5416 และมุสลิมตามสำนวนนี้ : 2970)

3. อุรวะฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้รายงานจากอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่านางได้กล่าวว่า :

وَاللَّهِ يَا ابْنَ أُخْتي إِنْ كُنَّا لَنَنْظُرُ إِلَى الْهِلاَلِ، ثُمَّ الْهِلاَلِ، ثُمَّ الْهِلاَلِ، ثَلاَثَةَ أَهِلَّةٍ فِى شَهْرَيْنِ وَمَا أُوقِدَ فِى أَبْيَاتِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَارٌ، - قَالَ – قُلْتُ : يَا خَالَةُ، فَمَا كَانَ يُعَيِّشُكُمْ؟، قَالَتِ : الأَسْوَدَانِ التَّمْرُ وَالْمَاءُ، إِلاَّ أَنَّهُ قَدْ كَانَ لِرَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ جِيرَانٌ مِنَ الأَنْصَارِ، وَكَانَتْ لَهُمْ مَنَائِحُ، فَكَانُوا يُرْسِلُونَ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ أَلْبَانِهَا فَيَسْقِينَاهُ.

ความว่า “ขอ สาบานต่ออัลลอฮฺ โอ้ หลานของฉัน ว่าเคยมีบางครั้งที่เราต้องเฝ้ามองจันทร์เสี้ยว แล้วก็จันทร์เสี้ยว แล้วก็จันทร์เสี้ยวถึงสามจันทร์เสี้ยวเป็นเวลาสองเดือนเต็มโดยที่ไม่มีการ ก่อไฟเพื่อปรุงอาหารในบ้าน ของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เลย”

อุรวะฮฺเล่าต่อว่า ฉันเลยถามว่า “โอ้ ท่านน้า แล้วพวกท่านประทังชีพอยู่กับอะไรกัน ?”

นางตอบว่า “กับ สองสิ่งดำ คือ ผลอินทผลัมและน้ำ เพียงแต่ว่า เพื่อนบ้านชาวอันศอรของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เขามีอูฐที่เช่าไว้สำหรับการรีดนมเป็นการเฉพาะ โดยพวกเขาส่งนมมาให้ท่านรอซูล แล้วท่านก็แจกให้พวกเราดื่ม”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 2567 และมุสลิมตามสำนวนนี้ : 2972)

4. จากอัมร์ บิน อัล-หาริษ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :

مَا تَرَكَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ دِينَارًا، وَلاَ دِرْهَمًا، وَلاَ عَبْدًا، وَلاَ أَمَةً، إِلاَّ بَغْلَتَهُ الْبَيْضَاءَ الَّتِي كَانَ يَرْكَبُهَا، وَسِلاَحَهُ، وَأَرْضًا جَعَلَهَا لاِبْنِ السَّبِيلِ صَدَقَةً.

ความว่า “ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไม่ได้ทิ้งมรดกไว้แม้แต่หนึ่งดีนาร์ หรือหนึ่งดิรฮัม ไม่มี(แม้กระทั่ง)ทาสชายหรือทาสหญิง นอกจากลาสีขาวที่ท่านใช้มันขี่ และอาวุธของท่าน และที่ดินแปลงหนึ่งที่ท่านได้บริจาคเป็นทานแก่คนเดินทาง”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 4461)

ความเป็นกันเองของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

จากอะนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :

إِنْ كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَيُخَالِطُنَا حَتَّى يَقُولَ لأَخٍ لِي صَغِيرٍ : «يَا أَبَا عُمَيْرٍ مَا فَعَلَ النُّغَيْرُ».

ความว่า “ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น ชอบที่จะคลุกคลีอย่างเป็นกันเองกับพวกเรามาก ถึงขนาดท่านได้ทักทายน้องชายคนเล็กของฉันว่า “โอ้ พ่อ อุมัยร์ นกน้อยนุฆ็อยร์ได้ทำอะไรบ้างล่ะ ?”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 6129 และมุสลิม : 2150)

ความเมตตาสงสารของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ต่อประชาชาติของท่าน

1. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :

«لَقَدْ جَاءَكُمْ رَسُولٌ مِنْ أَنْفُسِكُمْ عَزِيزٌ عَلَيْهِ مَا عَنِتُّمْ حَرِيصٌ عَلَيْكُمْ بِالْمُؤْمِنِينَ رَءُوفٌ رَحِيمٌ»

ความว่า “แท้จริงรอซูลคนหนึ่งจากหมู่พวกเจ้าได้มาถึงพวกเจ้าแล้ว ซึ่งสิ่งที่เจ้าระกำลำบากนั้นทำให้เขาหนักใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเขายังหวังดีต่อพวกเจ้า และยังเป็นผู้มีเมตตา ผู้กรุณาสงสารต่อบรรดาผู้ศรัทธา”

(อัต-เตาบะฮฺ : 128)

2. จากญาบิร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :

«مَثَلِي وَمَثَلُكُمْ كَمَثَلِ رَجُلٍ أَوْقَدَ نَارًا، فَجَعَلَ الْجَنَادِبُ وَالْفَرَاشُ يَقَعْنَ فِيهَا وَهُوَ يَذُبُّهُنَّ عَنْهَا، وَأَنَا آخِذٌ بِحُجَزِكُمْ عَنِ النَّارِ وَأَنْتُمْ تَفَلَّتُونَ مِنْ يَدِي»

ความว่า “อุปมา ฉันกับพวกท่านนั้นเป็นเสมือนชายคนหนึ่งที่จุดไฟกองหนึ่ง แล้วแมลงเม่าและผี้เสื้อก็บินเข้ามาตกลงในเปลวไฟ ในขณะที่เขารีบปัดป้องมันให้พ้นจากเปลวไฟนั้น และฉันคือผู้กระชากปมผ้ารัดเอวของพวกท่านให้รอดพ้นจากไฟนรก ในขณะที่พวกท่านต่างพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากมือฉัน”

(บันทึกโดยมุสลิม : 2285)

ความโกรธของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ต่อสิ่งที่ผิดกับหลักการของอัลลอฮฺ

1. จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา กล่าวว่า :

دَخَلَ عَلَيَّ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَفِى الْبَيْتِ قِرَامٌ فِيهِ صُوَرٌ، فَتَلَوَّنَ وَجْهُهُ، ثُمَّ تَنَاوَلَ السِّتْرَ فَهَتَكَهُ، وَقَالَتْ : قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ «مِِنْ أَشَدِّ النَّاسِ عَذَابًا يَوْمَ الْقِيَامَةِ الَّذِينَ يُصَوِّرُونَ هَذِهِ الصُّوَرَ».

ความ ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เข้ามาหาฉัน โดยในบ้านมีผ้าม่านหยาบๆ ที่มีรูปเขียนติดอยู่ สีหน้าท่านจึงเปลี่ยนไป แล้วท่านก็จับผ้าม่านและฉีกมันออก นางเล่าต่อว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ในบรรดาผู้ที่ถูกทรมานหนักที่สุดในวันกิยามัต คือ บรรดาคนที่เขียนรูปพวกนี้”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 6109 และมุสลิม : 2107)

2. จากอิบนุ มัสอูด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :

أَتَى رَجُلٌ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ : إِنِّي لأَتَأَخَّرُ عَنْ صَلاَةِ الْغَدَاةِ مِنْ أَجْلِ فُلاَنٍ مِمَّا يُطِيلُ بِنَا، قَالَ: فَمَا رَأَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَطُّ أَشَدَّ غَضَبًا فِى مَوْعِظَةٍ مِنْهُ يَوْمَئِذٍ، قَالَ : فَقَالَ : « يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّ مِنْكُمْ مُنَفِّرِينَ، فَأَيُّكُمْ مَا صَلَّى بِالنَّاسِ فَلْيَتَجَوَّزْ، فَإِنَّ فِيهِمُ الْمَرِيضَ وَالْكَبِيرَ وَذَا الْحَاجَةِ »

ความว่า มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม และกล่าวว่า “แท้จริงฉันจะไปละหมาดศุบห์ช้าเพราะสาเหตุจากอิมามคนหนึ่งที่ยืน(ละหมาด)นานกับพวกเรา”

อิบ นุ มัสอูดเล่าต่อว่า แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม มีอาการโกรธในการตักเตือนมากที่สุดยิ่งไปกว่าวันนั้น ซึ่งท่านกล่าวว่า

“โอ้ ผู้คนทั้งหลาย แท้จริงในหมู่พวกท่านมีผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเตลิดหนี ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่นำละหมาดแก่คนอื่น เขาก็จงทำให้รวบรัด เพราะในหมู่พวกเขามีคนป่วย คนชรา และผู้ที่มีธุระอยู่ด้วย “

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 6110 และมุสลิม : 466)

ความเมตตาปรานีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

1. จากอบู เกาะตาดะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :

خَرَجَ عَلَيْنَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأُمَامَةُ بِنْتُ أَبِى الْعَاصِ عَلَى عَاتِقِهِ، فَصَلَّى فَإِذَا رَكَعَ وَضَعَهَا، وَإِذَا رَفَعَ رَفَعَهَا

ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ออกมาหาพวกเราโดยมีอุมามะฮฺ บินตุ อบิลอาศขี่อยู่บนคอของท่าน แล้วท่านก็ละหมาด เมื่อท่านโค้งตัวลงรุกูอฺ ท่านก็จะวางเธอลง และเมื่อท่านเงยหลังขึ้น ท่านก็ยกเธอขึ้น "

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 5996 และมุสลิม : 543)

2. จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :

قَبَّلَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْحَسَنَ بْنَ عَلِىٍّ وَعِنْدَهُ الأَقْرَعُ بْنُ حَابِسٍ التَّمِيمِىُّ جَالِسًا . فَقَالَ الأَقْرَعُ إِنَّ لِي عَشَرَةً مِنَ الْوَلَدِ مَا قَبَّلْتُ مِنْهُمْ أَحَدًا . فَنَظَرَ إِلَيْهِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ قَالَ « مَنْ لاَ يَرْحَمُ لاَ يُرْحَمُ »

ความ ว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้จูบอัล-หะสัน บิน อะลี โดยมีอัล-อักเราะอฺ บินหาบิส อัลตะมีมีย์ นั่งอยู่ด้วย อัล-อักเราะอฺพูดขึ้นว่า “ฉันมีลูกสิบคน ซึ่งฉันไม่เคยจูบพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว”

ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงจ้องมองไปที่เขา แล้วกล่าวว่า “ผู้ใดไม่ปรานี (ต่อผู้อื่น) เขาก็จะไม่ได้รับการปรานี(จากอัลลอฮฺ)

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 5997 และมุสลิม : 2318)

3. มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :

«إِذَا صَلَّى أَحَدُكُمْ لِلنَّاسِ فَلْيُخَفِّفْ، فَإِنَّ مِنْهُمُ الضَّعِيفَ وَالسَّقِيمَ وَالْكَبِيرَ، وَإِذَا صَلَّى أَحَدُكُمْ لِنَفْسِهِ فَلْيُطَوِّلْ مَا شَاءَ»

ความว่า “เมื่อ ผู้หนึ่งผู้ใดได้ละหมาดนำผู้อื่น เขาจงละหมาดให้สั้นๆ เพราะในหมู่คนเหล่านั้นมีผู้อ่อนแอ คนป่วย และคนชรา แต่เมื่อเขาละหมาดเพื่อตัวเขาเอง (ละหมาดคนเดียว) เขาก็จงละหมาดนานๆตามแต่เขาประสงค์”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 703 และมุสลิม : 467)

4. ความปรานีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่มีต่อคนรับใช้ ท่านกล่าวถึงคนรับใช้ว่า :

«هُمْ إِخْوَانُكُمْ، جَعَلَهُمُ اللَّهُ تَحْتَ أَيْدِيكُمْ، فَأَطْعِمُوهُمْ مِمَّا تَأْكُلُونَ، وَأَلْبِسُوهُمْ مِمَّا تَلْبَسُونَ، وَلاَ تُكَلِّفُوهُمْ مَا يَغْلِبُهُمْ، فَإِنْ كَلَّفْتُمُوهُمْ فَأَعِينُوهُمْ» .

ความว่า “พวกเขาคือพี่น้องของท่าน ซึ่งอัลลอฮฺได้ทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของท่าน ดังนั้น พวกท่านจงให้เขาได้กินในสิ่งที่พวกท่านกิน และจงสวมเสื้อผ้าให้พวกเขาในสิ่งที่พวกท่านสวมใส่ และจงอย่าได้ใช้งานพวกเขาในสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา และหากพวกท่านจำเป็นต้องใช้พวกเขาให้ทำงานหนัก พวกท่านก็จงช่วยเหลือพวกเขา”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 30 และมุสลิมตามสำนวนนี้ : 1661)

5. ความปรานีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่มีต่อเหล่าศัตรูของอิสลาม จากอะนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ท่านได้กล่าวว่า :

كَانَ غُلاَمٌ يَهُودِىٌّ يَخْدُمُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَمَرِضَ، فَأَتَاهُ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَعُودُهُ، فَقَعَدَ عِنْدَ رَأْسِهِ فَقَالَ لَهُ « أَسْلِمْ » . فَنَظَرَ إِلَى أَبِيهِ وَهْوَ عِنْدَهُ فَقَالَ لَهُ : أَطِعْ أَبَا الْقَاسِمِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . فَأَسْلَمَ ، فَخَرَجَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ يَقُولُ «الْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِى أَنْقَذَهُ مِنَ النَّارِ».

ความว่า มีเด็กชายชาวยิวคนหนึ่งที่เคยรับใช้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ล้มป่วย

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงไปเยี่ยมเขา ท่านได้นั่งอยู่ตรงศีรษะและกล่าวกับเขาว่า “จงรับอิสลามเถิด”

เด็กคนนั้นจึงมองไปยังบิดาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เขา บิดาของเด็กคนนั้นก็ได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจงเชื่อฟังอบุลกอซิม(หมายถึงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม) เถอะ”

เด็กจึงยอมรับอิสลาม จากนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณอัลลอฮฺ ผู้ทรงช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากไฟนรก”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 1356)

มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัต-ตุวัยญิรีย์

สำนักงานเผยแพร่และสอนอิสลาม อัร-ร็อบวะฮฺ กรุงริยาด

0 ความคิดเห็น: