แผ่นดินเปลี่ยนสี ตอนที่ 2

ตัวอย่างพิบัติภัยในอดีตซึ่งปรากฏในคัมภีร์อัล-กุรอาน

ที่มา:อะมะตุ้ลญะลิ้ล


ย้อนถอยหลังกลับไปเมื่อคราวอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของโลก คือในสมัยศาสดานูฮ (Noah) (หลังจากศาสดาอาดัม 10ช่วงบรรพบุรุษ หรือประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล) ด้วยเหตุผลอันใดที่ทำให้ประชาชาติของท่านต้องจมอยู่ใต้ผืนน้ำ ที่ทะลักออกมาจากแผ่นดินและแผ่นฟ้า ภายหลังการยืนหยัดอดทนของท่านในการเรียกร้องเชิญชวนผู้คนสู่การสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวตลอดช่วงอายุ 950 ปี นับจากการแต่งตั้งเป็นศาสดา แต่มีผู้เชื่อฟังท่านเพียง 80 คน


อ๊าด(A’ad) กลุ่มชนของท่านศาสดาฮู๊ด(Eber) ภายหลังศาสดานูฮ(Noah) 7 ช่วงบรรพบุรุษ ประสบพบเจอสิ่งใด ทำนองเดียวกันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับกลุ่มชนของท่านศาสดาซอและฮฺ(Shaloh) ศาสดาลู๊ฏ(Lot) และศาสดาชุอัยบฺ(Jethro) หลังจากที่พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพและเยาะเย้ยถากถางศาสดาของพระองค์ ดังจะกล่าวในลำดับต่อไป

กลุ่มชนอ๊าด

รู้จัก A’ad

ชนชาติอาหรับในประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ๆ คือ อาหรับที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ได้แก่พวกอ๊าดและษะมู๊ด กลุ่มที่2 คืออาหรับแท้ ได้แก่อาหรับเยเมนซึ่งกระจายอยู่ในตะวันออกกลาง และกลุ่มที่ 3 คืออาหรับผสม ได้แก่ลูกหลานศาสดาอิสมาอีล(Ishmael)บุตรศาสดาอิบรอฮีม(Abraham) ซึ่งก็คือต้นบรรพบุรุษของศาสดามุฮัมหมัด(ขอพระเจ้าทรงประทานพรและความศานติแด่ท่าน)

กลุ่มชนอ๊าด คือกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนหุบเขา “อะฮฺก็อฟ” ประเทศเยเมน และเป็นที่ทราบกันดีถึงความอุดมสมบูรณ์เจริญรุ่งเรืองของเมืองแห่งนี้ อ๊าดเป็นกลุ่มชนแรกหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกที่สักการะบูชาเจว็ด พระเจ้าทรงประทานความโปรดปรานอย่างมากมายแก่พวกเขา ให้พวกเขามีร่างกายกำยำ สูงใหญ่ แข็งแกร่ง ไม่มีใครมีกำลังความสามารถทัดเทียม มีเคหะสถานป้อมปราการสูงตระหง่านมั่นคง มีลูกหลาน ปศุสัตว์ เรือกสวนและลำธารหลายแห่ง แต่พวกเขาก็ไม่สำนึกทำร้ายผู้คนอย่างทารุณ เหิมเกริมในความแข็งแกร่งของตน ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีการฟื้นคืนชีพ หรือการตอบแทนชำระบัญชีใดๆ

ท่านศาสดาฮู๊ด(Eber) มาจากกลุ่มชนนี้ ทำหน้าที่ตักเตือนกลุ่มชนตามบัญชาแห่งพระเจ้าเช่นเดียวกับศาสดานูฮ แต่สิ่งที่พวกอ๊าดตอบสนองกลับมา คือ การยะโสดื้อดึง กล่าวหาท่านว่างมงายเสียสติบ้าง โกหกบ้าง และท้าทายอยากเห็นการลงโทษว่าเป็นจริงตามที่ศาสดาสัญญาหรือไม่

สัญญาของพระเจ้าย่อมเป็นจริงเสมอ

พวกเขาประสบกับความแห้งแล้งกันดาร ฝนหยุดตกตลอด 3 ปี กระทั่งวันหนึ่งบนฟ้าปรากฏเมฆดำทะมึน พวกอ๊าดต่างดีอกดีใจนึกว่าเจว็ดของพวกเขาได้ให้การช่วยเหลือ หารู้ไม่ว่ามันคือเมฆที่นำการลงโทษจากพระเจ้ามาทำลายล้างพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏ จากสภาพที่อากาศร้อนระอุกลับเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกกระทันหัน พายุกระหน่ำความหนาวเหน็บโถมทับพวกเขาต่อเนื่อง 8 วัน 7 คืน แผ่นดินสะเทือนจากเสียงกัมปนาท ทุกอย่างสั่นสะท้าน ที่กำบังพังทลาย เสื้อผ้าขาดวิ่น ผิวหนังฉีกขาดกระชากผู้คนประหนึ่งรากต้นอินทผาลัมที่ถูกถอน เสมือนดั่งเศษขยะกระจัดกระจายเป็นผุยผง

ษะมู๊ด (Thamud)

กลุ่มชนของท่านศาสดาซอและหฺ (Shaloh) ที่ปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยเคหะสถานร้างสกัดจากภูผา ก่อนหน้านี้พวกเขาพบเจอสิ่งใด?

รู้จัก Thamud

ษะมู๊ดเป็นตระกูลอาหรับที่ยิ่งใหญ่ตระกูลหนึ่งเช่นเดียวกับอ๊าด อาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า “อัล-ฮิจร์” อยู่ระหว่างปาเลสไตน์กับซาอุดิอารเบียทางทิศตะวันตก หรือในอาณาเขตประเทศจอร์แดนปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “Madain Soleh” (เมืองศาสดาซอและฮฺ) พวกษะมู๊ดมีเมืองที่อุดมสมบูรณ์ มีการชลประทานคล่องตัว มีสวนผลไม้ที่ให้ผลดกเต็มต้น มีเครื่องนุ่งห่มจากขนสัตว์ มีที่พำนักสกัดจากภูเขาใหญ่โตงดงามและมีอายุขัยยืนยาว(ชาวษะมู๊ดอายุยืนถึง300-1,000ปี)

ท่านศาสดาซอและห์ทำหน้าที่ประกาศบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับศาสดาก่อนหน้าท่าน และเตือนให้รำลึกถึงเหตุการณ์ที่บรรพบุรษได้เคยประสบ แต่พวกษะมู๊ดกลับเยาะเย้ย และเรียกร้องหลักฐานการเป็นศาสนฑูตของพระเจ้าด้วยการท้าทายท่านศาสดาให้นำอูฐท้องแก่ออกมาจากหินก้อนใหญ่ตรงหน้าพวกเขาเพื่อเป็นข้อต่อรองการศรัทธา

หลังจากท่านศาสดาทำการละหมาดและขอพรต่อพระเจ้า พระองค์ทรงตอบรับคำขอโดยทรงให้อูฐออกมาจากหินก้อนใหญ่ตามลักษณะที่พวกเขาต้องการ เพื่อเป็นอภินิหารและเป็นหลักฐานยืนยันความสัจจริงของท่าน เพราะการที่อูฐออกมาจากหินเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ท่านศาสดาได้ตกลงเงื่อนไขให้อูฐและชาวเมืองดื่มน้ำจากบ่อน้ำโดยสลับวันกัน ในวันที่เป็นสิทธิ์ดื่มน้ำของอูฐ ชาวเมืองและสัตว์เลี้ยงก็จะได้ดื่มนมอูฐอย่างพอเพียง แต่ในวันที่เป็นสิทธิ์ของชาวเมือง อูฐก็จะไม่ดื่มน้ำในวันนั้น ซึ่งท่านศาสดาได้เตือนย้ำอย่างแข็งขันห้ามชาวเมืองทำร้ายและขัดขวางการดื่มน้ำของอูฐ มิเช่นนั้นการลงโทษของพระองค์จะประสบกับพวกเขาอย่างแน่นอน

แต่แล้วพวกเขาก็บิดพริ้วสัญญาละเมิดคำสั่งของพระเจ้า รวมหัวกันฆ่าอูฐอันเป็นสัญญาณของพระองค์ เพียง 3 วันให้หลังสัญญาของพระองค์ย่อมไม่หลอกลวง ทันทีที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง แผ่นดินไหวสะท้าน คร่าชีวิตผู้ปฏิเสธในสภาพคุกเข่าล้มตายคาบ้านของพวกเขาเอง การลงโทษครั้งนี้ทำให้เผ่าพันธ์ษะมู๊ด 5,000 ครอบครัวสาบสูญสิ้น ประหนึ่งว่าไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ ณ แผ่นดินนี้มาก่อน เหลือรอดแต่ผู้ศรัทธาเพียง 120 คน กับซากปรักหักพังของความรุ่งโรจน์ในอดีต ณ แผ่นดินที่ถูกลงทัณฑ์นี้

ทำนองเดียวกันกับหลายๆ ประชาชาติถัดมาจากอ๊าดและษะมู๊ด ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ตอบแทนการก่อความเสียหายของพวกเขาบนแผ่นดินของพระองค์ด้วยสัญญาณต่างๆ มากมาย เช่น ชาวเมืองสะดูม(Sodom) ณ บริเวณที่เป็นทะเลสาป Dead Sea ระหว่างจอร์แดนกับปาเลสไตน์ ชาวเมืองแห่งนี้นับเป็นต้นฉบับกามวิตถารระหว่างชายด้วยกัน ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงหักหลัง ปล้นสดมภ์และเฉยเมยในการตักเตือนซึ่งกัน ฯลฯ ไม่มีแม้สักคนเดียวที่เชื่อฟังการห้ามปรามตักเตือนของศาสดาลู๊ฏ(Lot) (หลานศาสดาอิบรอฮีม“อับราฮัม”) มิหนำซ้ำพวกเขายังรวมหัวขับไล่ ท้าทายการลงทัณฑ์ของพระเจ้าเหมือนกับที่บรรพบุรุษก่อนหน้าพวกเขาเคยท้าทายมาแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงตอบแทนพฤติกรรมชั่วช้าของพวกเขาด้วยการพลิกแผ่นดิน และกระหน่ำซ้ำด้วยฝนหินจากเบื้องบน และทิ้งแผ่นดินนี้ให้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้สัญจรจวบจนปัจุบัน

พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตอบแทนการเนรคุณของประชาชาติรุ่นก่อนๆ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่มนุษยชาติทั้งหมด พระองค์ทรงลงโทษชาวเมืองมัดยัน (midian) กลุ่มชนของศาสดาชุอัยบฺ (Jethro) ด้วยเปลวเพลิงจากเมฆครึ้ม เสียงกัมปนาท และแผ่นดินไหว ลงโทษฟิรเอาน์(Pharaoh)และพลพรรค ด้วยการจมอยู่ใต้ท้องทะเล กอรูนและพวกพ้องด้วยการถูกธรณีสูบ ฯลฯ

ดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหน้าประวัติศาสตร์โลกที่พระผู้เป็นเจ้าได้จัดการกับกลุ่มชนผู้ ดื้อดึงฝ่าฝืนและก่อความเดือดร้อนเสียหายในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงยืนยันว่า

"การลงโทษของพระองค์จะไม่เกิดขึ้นอย่างอธรรมเป็นอันขาด

และพระเจ้าของเจ้ามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลาย

จนกว่าพระองค์จะทรงแต่งตั้งรอซูล(ศาสนฑูต)ขึ้นในเมืองหลวงนั้น

โดยสาธยายโองการทั้งหลายของเราแก่พวกเขา

และเรามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายเว้นแต่ชาวเมืองนั้นเป็นผู้อธรรม"

[อัล-กุรอาน28:59]

" และเรามิได้อธรรมต่อพวกเขา แต่ว่าพวกเขาอธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง "

[อัล-กุรอาน11:101]

บทเรียนจากอดีต ถึง ปัจจุบัน

ภาพในอดีตไม่ได้ห่างไกลเกินไปที่เราจะเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ยุคที่ผู้คนหลงอยู่กับอำนาจของวัตถุจนจิตใจขึ้นสนิม ศีลธรรมคุณธรรมกลายเป็นเรื่องแปลกและล้าสมัย การกอบโกยเพื่อประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมกลายเป็นความเคยชิน ความยุติธรรมเหลือเพียงแต่ชื่อ พิบัติภัยจึงส่อเค้าอยู่รำไร ตราบใดที่ความสำนึกต่อการกระทำยังไม่สามารถทะลายสนิมที่เกาะกุมหัวใจมนุษย์

ท่านศาสดามุฮัมหมัด(ขอพระเจ้าทรงประทานพรและความศานติแก่ท่าน)ศาสดาท่านสุดท้ายของอิสลาม ได้แจ้งให้เราทราบล่วงหน้าถึงยุคสมัยแห่งความสับสนวุ่นวายนี้

โดยท่านกล่าวไว้ว่า “ยุคสุดท้ายของประชาชาตินี้จะเกิดธรณีสูบ แผ่นดินถล่ม และแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง”

ท่านหญิงอาอีชะฮฺ(ภรรยาท่านศาสดา) ถามขึ้นว่า “ พวกเราจะล่มจมทั้งๆที่ยังมีคนดีๆอยู่ด้วยกระนั้นหรือ?"

ท่านศาสดาตอบว่า “ใช่แล้ว เมื่อความชั่วปรากฏขึ้นเต็มไปหมด”

ท่านศาสดายังได้กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่า “ในประชาชาตินี้จะถูกลงโทษด้วยการถูกธรณีสูบ ถูกสาป และถูกฟ้าผ่า”

ชายคนหนึ่งถามขึ้นว่า "ท่านศาสนฑูตของอัลลอฮ เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?"

ท่านศาสดาตอบว่า “ เมื่อมีหญิงบริการ เครื่องดนตรี และการดื่มสุราเสพสิ่งมึนเมาปรากฏเป็นที่แพร่หลาย”

(บันทึกโดยติรมีซียฺ อิบนิอบิดดุนยา อะฮฺมัดและอัฏฏ๊อบรอนียฺ)

นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งจากคำเตือนของศาสดาเมื่อกว่า1,400 ปีมาแล้ว เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากสมัยของท่าน ดังกล่าวนี้ ไม่ใช่คำทำนาย ไม่ใช่การพยากรณ์ แต่เป็นข้อเท็จจริง ที่สำหรับผู้เป็นมุสลิมแล้วต้องเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่มาจากท่านศาสดาคือความจริง ซึ่งในปัจจุบันหลากหลายเหตุการณ์ได้ปรากฏให้เห็นตรงตามที่ท่านกล่าวเตือนไว้ทุกประการ


ความส่งท้าย

แม้เวลาจะล่วงผ่านมาหลายสิบศตวรรษ แต่หากเราใช้สติปัญญาใคร่ครวญ เราจะเห็นว่าความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดินล้วนมีสาเหตุมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่เพียงแค่ภาวะทางกายภาพเท่านั้นที่ทำให้แผ่นดินเจ็บป่วย แต่พฤติกรรมของเจ้าของหัวใจที่มีสนิมเกาะกุมก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักเป็นเท่าทวีคูณแก่การแบกรับของแผ่นดินเช่นกัน

กระแสสังคมสามารถฉุดผู้คนให้เติบโตขึ้นได้ฉันใด กระแสสังคมก็ฉุดผู้คนให้ตกต่ำลงได้ฉันนั้น จะมีประโยชน์อันใดหากเรามุ่งพัฒนาศักยภาพจักรกลเพื่อตอบสนองความโลภ เพื่อส่งเสริมมนุษย์ให้หน้ามืดตามัวบูชาวัตถุ ขณะที่ศักยภาพของบุคคลกลับยิ่งจมดิ่ง ขาดการปฏิรูปฟื้นฟู

ภาวะที่โลกกำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ ไม่เพียงพออีกหรือที่จะเตือนให้ปัญญาชนได้ตระหนักถึงการกระทำของตัวเอง หรือต้องรอจนกว่าจะเปิดประตูออกมาพบมหันตภัยลูกใหญ่อยู่ตรงหน้า ฟ้าเปลี่ยนสีและแผ่นดินสีเปลี่ยนเสียก่อนจึงจะสำนึก ??

"พวกเขามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ

แล้วพิจารณาดูว่า บั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใด"

[อัล-กุรอาน30:9]



ที่มา.... http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=50&id=533

0 ความคิดเห็น: