การคลุมผ้าฮิญาบตะวันออกกลาง : สีสันหลากวัฒนธรรม

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการคลุมผ้าฮิญาบของชาวมุสลิมะห์ ทางทีมงานมีรายงานเกี่ยวกับสถิติชาวมุสลิมที่น่าสนใจมากมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) สรุปในรายงานการศึกษาวิจัยชื่อ “Mapping the Global Muslim Population: A Report on the Size and Distribution of the World’s Muslim Population” ว่า มุสลิมทั่วโลกมีจำนวนประมาณ 1.57 พันล้านคน คิดเป็นร้อยละ 23 ของจำนวนประชากรทั้งโลก ซึ่งอยู่ที่ 6.8 พันล้านคน และส่วนมากเป็นผู้มีแนวคิดแบบซุนนี 87 – 90 % โดยที่เป็นชีอะห์มีประมาณ 10 – 13 %

การสำรวจข้อมูลจาก 232 ประเทศ และภูมิภาค พบว่า มุสลิมร้อยละ 20 อยู่ในทวีปเอเชีย โดยมีอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก คือ 203 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรมุสลิมทั่วโลก รายงานยังระบุว่า มีมุสลิม 174 ล้านคนในปากีสถาน 161 ล้านคนในอินเดีย 145 ล้านคนในบังคลาเทศ 74 ล้านคนเท่ากันทั้งในอิหร่าน และตุรกี ทั้ง 6 ประเทศนี้มีมุสลิมรวมกันคิดเป็นร้อยละ 85 ของมุสลิมในเอเชีย ซึ่งมากกว่าครึ่ง (53 %) ของมุสลิมทั่วโลก

ผลวิจัยยังลงในรายละเอียดว่า มุสลิมในเอเชียใต้มีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของมุสลิมทั่วเอเชีย และที่เหลือเป็นมุสลิมในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 26 % และเอเชียกลางด้านตะวันตก 24 % สำหรับในภูมิภาคตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ มีมุสลิม 315 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20 ของมุสลิมทั่วโลก เฉพาะในภูมิภาค Sub-Sahara ของแอฟริกามีมุสลิมประมาณ 240 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ของมุสลิมทั่วโลก โดย 1 ใน 3 ของจำนวนนี้อยู่ในไนจีเรีย (74 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศ) ในภูมิภาคแอฟริกามีมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมากในประเทศต่างๆ ได้แก่ มอริตาเนีย 99 % , ไนเจอร์ 99 %, โซมาเลีย 99 %, มายอเต้ 98 %, โคโมรอส 98 %, ดจิบูติ 97 %, เซเนกัล 96 %, แกทยัน 95 %, มาลี 93 %, กีนีอา 84 %, และเซียร่า ลีโอน 71 %

เนื้อหาของรายงานมีหลายจุดที่สร้างความประหลาดใจ เช่น เยอรมนีมีประชากรมุสลิมมากกว่าในเลบานอนจีนมีประชากรมุสลิมมากกว่าซีเรีย และรัสเซียมีประชากรมุสลิมมากกว่าจอร์แดน และเมื่อนำประชากรมุสลิมในลิเบียและเอธิโอเปียมารวมกันจะมีประชากรมุสลิม เกือบเท่ากับอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ ขนาดและการกระจายตัวของประชากรมุสลิมยังถือว่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากศาสนาคริสต์

เรามาพูดถึงการคลุมฮิญาบของสตรีกัน ฮิญาบ ในความหมายทางอาการนาม คือ การปิด การซ่อน หรือการปกคลุม หรือมีความหมายว่า ม่านกั้น แต่ความหมายในทางศาสนาบรรดานักวิชาการได้ให้ความหมายรวมไว้ว่า หมายถึง เครื่องแต่งกาย หรือ อาภรณ์มุสลิมะห์ที่ปกปิดส่วนที่เรียกว่า “ เอาเราะห์” คำว่า เอาเราะห์นี้ นักวิชาการมีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่า เอาเราะห์ คือ บางส่วนของร่างกายสตรีซึ่งจะต้องปกปิดทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อีกฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่า ทุกส่วนของร่างกายสตรีเป็น เอาเราะห์ นอกจากใบหน้าและฝ่ามือ แต่ถ้าหากเกรงว่าจะเกิดความเสื่อมเสียก็ควรปิดทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งใบหน้าและฝ่ามือ

บางคนมีความเห็นว่า ฮิญาบเป็นชุดที่สตรีชาวอาหรับสวมใส่กันสมัยก่อนอิสลาม หรือ เป็นแฟชั่นของสตรีชาวอาหรับ หรือเป็นประเพณีการแต่งกายของสตรีที่สืบทอดกันมา หรือเป็นเพียงเสื้อคลุมเพื่อกันฝุ่นของสตรีในประเทศแถบทะเลทราย

ฮิญาบ คือการแต่งกายที่ศาสนาอิสลามบังคับสำหรับสตรีมุสลิม เพื่อเป็นการป้องกันพวกเธอไม่ให้เกิดการเกี้ยวพาราสีและถูกรบกวนจากบรรดา บุรุษที่ไม่มีความรับผิดชอบ ดังนั้นการคลุมฮิญาบ (ศีรษะ) จึงมีไว้เพื่อปกป้องเกียรติภูมิความมีศักดิ์ศรีของสตรี และการคลุมฮิญาบก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว หรือประกอบกิจการอะไรเลย อิสลามมิได้บังคับให้สตรีต้องปิดหน้าหรือใส่ถุงมือ การคลุมฮิญาบมิใช่จะมีแต่เพียงในศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่มีในศาสนาคริสต์อีกด้วย ซึ่งจะเห็นว่า แม่ชีชาวคริสต์แต่งกายคลุมศีรษะ และปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด จะเปิดเฉพาะใบหน้าและฝ่ามือเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะทำการสวดมนต์ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มีบทบัญญัติในคัมภีร์ไบเบิ้ล นอกจากนั้นจะเห็นว่าภรรยาของผู้นำชาติตะวันตก หรือบรรดาดาราที่มีชื่อเสียง ก็มีการคลุมศรีษะในขณะเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา(บาทหลวงในสาสนาคริสต์)

ประวัติที่มาของการคลุมฮิญาบ และการประทานคัมภีร์กุรอานเกี่ยวกับเรื่องฮิญาบมีดังนี้

ช่วงแรกๆ ในการเป็นศาสนฑูตของท่านนบีมูฮำมัดนั้น ยังไม่มีคำสั่งเรื่องการคลุมฮิญาบลงมา ครั้นเมื่อท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) มุ่งหน้าไปยังเมืองมะดีนะห์ ช่วงนั้นท่านนบียังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง จึงพักที่บ้านของอบูอัยยูบ แต่ภรรยาของท่านนบีต้องพักที่อื่น เมื่อภรรยาของท่านนบีและสตรีมุสลิมท่านอื่นๆ ต้องการออกไปทำภารกิจ (เช่น ธุระส่วนตัว....เมื่อก่อนยังไม่มีห้องน้ำ) ในยามค่ำคืน ก็ต้องออกไปทำภารกิจนอกบ้านซึ่งในระหว่างทาง พวกอันธพาลมักนั่งแถวๆ ข้างทาง คอยหยอกล้อ, จีบสาว และพูดจาเกี้ยวพาราสีต่อสตรีที่เดินผ่านไปมา ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานอัลกุรฺอานในบทที่ว่า "โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาโดยให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัว ของพวกนางเถิด" (Quran บทอัลอะหฺซาบ 33 : 59) จึงเป็นบัญญัติที่สตรีมุสลิมต้องกระทำ ทั้งหมดนั้นมาจากความเข้าใจและจิตศรัทธา ถ้าเขาเข้าใจนั้น เขาก็ย่อมปฏิบัติได้ โดยไม่เขอะเขิน

มาตรฐาน 6 ประการสำหรับฮิญาบ

1. สำหรับผู้หญิงเอาเราะฮฺคือทุกส่วนของร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ หรือหากเป็นความประสงค์ของพวกเธอก็สามารถปกปิดส่วนของร่างกายส่วนนี้ (ใบหน้าและมือ) ด้วยก็ได้ นักวิชาการอิสลามบางท่านยืนยันหนักแน่นว่าใบหน้าและมือก็เป็นส่วนของร่างกาย ที่ต้องปกปิดด้วยเช่นกัน

2. ชุดที่สวมใส่ต้องหลวมและต้องไม่เปิดเผยให้เห็นรูปร่าง

3. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่บางจนมองทะลุผ่านได้

4. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่งามหรือมีเสน่ห์จนเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม

5. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของเพศตรงข้าม

6. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของบรรดาผู้ปฏิเสธ พวกเขาจะต้องไม่สวมใส่ชุดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหรือสัญลักษณ์ในศาสนาของ บรรดาผู้ปฏิเสธ

ที่มาจาก http://sameaf.mfa.go.th/th/country/middle-east/tips_detail.php?ID=931

0 ความคิดเห็น: