ความตายคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเข้ารับอิสลาม

undefined

ความตายคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเข้ารับอิสลาม


แปลโดย.....อิบนุลฮัค


ในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คน ต่างเต็มไปด้วยกับการนับถือศาสนาที่ถูกต้องและศาสนาต่างๆที่ถูกอุบัติขึ้น และการหลงผิดตามชัยฏอน บวกกับปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนหาทางแก้ และดูเหมือว่าสิ่งที่มนุษย์ค้นหานั้นคงจะเป็นความสุขนั่นเอง พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นความสุขทางบันเทิง ผู้หญิง รถ หรือการสะสมเงินทอง

พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็มีความเชื่อที่คล้ายๆกันว่าหากว่าเขามีเงิน เขาก็สามารถซื้อหาความสุขที่เขาอยากได้ แต่ในขณะเดียวในเมื่อสิ่งเหล่านั้นมันไม่สามารถให้คำตอบ และไม่สามารถค้นพบความสุขที่แท้จริงให้กับชีวิตได้ เขาเลยต้องหามันให้พบด้วยการสรรหาพระเจ้าที่แท้จริง ! อะไรคือศาสนาที่แท้จริง ?

คำถามต่างนานา มันได้จุดขึ้นมา แล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า...เราเกิดมาทำไม ? เรามาทำอะไรในโลกใบนี้ และอะไรคือความสุขที่แท้จริง ชีวิตของเรามันจบเพียงแค่การฝังในสุสานกระนั้นหรือ ? หรือว่ามีอะไรอีกหลังจากที่ความตายมาเยือน ?


และชายผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน เขาคือคนหนึ่งที่พยายามหาคำตอบให้กับชีวิต และปรากฏว่าคำตอบที่ได้พยายามหาทุกอย่างมันอยู่ใน “อิสลาม” วันนี้เขารู้แล้วว่าอิสลามสามารถให้ความสุขในทุกอย่างที่เขาอยากได้จริงๆ....ลองไปอ่านเรื่องราวการรับอิสลามของเขากัน

เขามีนามว่า อัชลี เตชั่น(أشلي تشين ) เป็น ชาวอังกฤษ อาชีพนักดนตรี อายุ 18 ปี แต่ผลงานของเขานั้นนับว่าไม่ธรรมดา เขาได้โลดโผนอยู่ในวงการมายามาอย่างยาวนานตั้งแต่เด็ก มีชื่อเสียง มีงานให้เห็นทั้งทางทีวีและงานแสดงต่างๆมากมาย เขาโตมากับเสียงดนตรีตั้งแต่เด็กเพราะไม่ว่าพ่อหรือแม่ของเขาก็เป็นนักดนตรี เลยเป็นปัจจัยหลักและเป็นแรงผลักดันให้เขาได้มาเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง โด่งดังในวันนี้ แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งอัลลอฮ์ ตาอาลาทรงเมตตาให้เขาได้รับโชคลาภและความสุข ซึ่งมันเป็นความสุขที่ล้ำค่ากว่าการที่เขามีดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยการให้เขาเข้ารับอิสลาม


จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชายผู้นี้ หรือ “บีลาล” (ชื่อ ของเขาหลังจากเข้ารับอิสลาม) กลับเป็นพลังที่มีค่าในการทำงานเพื่ออิสลาม เขาสามารถช่วยเหลือพี่น้องให้เข้าใจอิสลามได้ดีมากขึ้น เพราะเขาได้เป็นนักเผยแพร่อิสลามในประเทศของเขา รวมถึงอีกหลายประเทศจากประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย

เรื่องราวการเข้ารับอิสลามของเขาได้ถูกเล่าไว้ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์อัล วะตอน (ของประเทศซาอุดิอาระเบีย)ในวันเสาร์ที่ 25 พ.ย. 2554 ซึ่งเขาได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเป็นการส่วนตัวซึ่งมีข้อความดังต่อ ไปนี้...

ตอนเป็นเด็กคุณเป็นอย่างไรบ้าง ?

เริ่มแรกและสุดท้ายผมต้องขอบคุณต่อพระองค์อัลลอฮ์ ผม โตมาในประเทศอังกฤษ ที่ไม่เคยมีมุสลิมมาบอกผมถึงอิสลามเลย และผมก็ไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับอิสลาม ครอบครัวผมนับถือศาสนาคริสต์ และข้อมูลที่ผมพอจะรู้ถึงอิสลามอยู่บ้างก็แค่รู้ว่ามันคือประเทศหนึ่งที่ อยู่ใกล้กับประเทศปากีสถานครับ ผมโตมาในครอบครัวที่ยากจน ในวันหนึ่งๆผมไม่คิดอะไรมาก นอกจากคิดว่าจะทำอย่างให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพ และสำหรับผมแล้วเงินเป็นชัยชนะและความสุขในการอยู่ในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมต้องคอยช่วยแม่หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวอีกแรงหนึ่งเพราะพ่อได้ทิ้งพวกเราไปตอนอายุ 4 ขวบ

คุณเริ่มรู้จักอิสลามได้อย่างไร ?

ผม ได้เริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุ 16 ปี ผมเคยออกอากาศทางโทรทัศน์หลายช่องด้วยกัน และแสดงคอนเสิร์ตมากมาย พอผมอายุได้ 18 ปี ผมได้รับเงินก้อนโต แต่ทุกครั้งที่ผมได้มาผมก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรอย่างหนึ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต ถึงผมแม้ว่าจะมีเงินมากมายก็ตาม ชีวิต ที่ทุกข์มากกว่าการมีความสุข และรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยพบกับการผ่อนคลายและพักผ่อนเลย กลัดกลุ้มใจ ว้าเหว่ จากนั้นผมจึงเริ่มคิดถึงความตาย คิดถึงสุสาน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวผมหลังจากทั้งสองนั้น

อยู่ มาวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังอัดเสียงในห้องสตูดีโอ มีเพื่อนชาวอังกฤษได้แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน ซึ่งผมไม่ได้พบเขามานานแล้ว ผมออกมาพบเขาที่ห้องรับแขก และดูเหมือนว่าเขาได้เปลี่ยนศาสนาจากคริสต์ เป็นอิสลามแล้ว ในระหว่างที่คุยกันเขาก็ได้ถามผมหลายคำถามมาก ...หนึ่งในนั้นเขาได้ถามผมว่า..

คุณมาจากไหน?

คุณเกิดมาในโลกใบนี้ทำไม?

แล้วคุณจะไปไหน?

แล้วเขาก็บอกกับผมว่า.. “แท้จริง อัลลอฮ์ คือผู้สร้างทุกๆสิ่งทุกอย่าง พระองค์คือผู้ทรงประทานความจำเริญให้แก่เรา เราเกิดมาในโลกใบนี้ก็เพื่อได้ใช้ปัจจัยยังชีพที่เรามีเพื่อให้พระผู้สร้างพอใจ และจุดจบของชีวิตคือการกลับไปยังพระองค์"

หลังจากนั้นเขาได้เตือนผมว่า “แต่ ละวันผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับดนตรีและเรื่องหาเงินโดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้อง ตาย และอะไรที่จะเกิดกับผมบ้างหลังจากที่กลับไปหาพระผู้สร้างของเรา และเราจะเป็นชนฝ่ายใด? เราจะได้เข้าสวรรค์ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับชัยชนะที่ถาวร หรือต้องเป็นกลุ่มชนที่ขาดทุนแล้วมีนรกเป็นที่พำนัก !

ทำไมต้องเป็นอิสลามที่คุณเลือก ทุกศาสนาต่างก็พูดถึงเรื่องการมีชีวิตและความตายไม่ใช่หรือ?

สิ่งที่ผมอ่านเจอในศาสนาคริสต์ยังไม่พอสำหรับผม อิสลามไม่ได้สอนให้คุณรู้เพียงแค่ความหมายของการมีชีวิต การตายเท่านั้น หากแต่อิสลามได้สอนให้เรารู้ทุกอย่าง ไม่ ว่าจะเป็นการกิน การดื่ม การอบรมลูก การปฏิบัติต่อภรรยา วิธีการละหมาด และทุกๆเรื่องที่คุณอยากรู้ล้วนแล้วมีคำตอบให้คุณอยู่ในอิสลามเพียงแค่ใช้ เวลาในการศึกษาไม่มาก

เป็นเพราะเพื่อนของคุณหรือเปล่าที่คุณได้รู้จักอิสลามดีอย่างนี้ หรือคุณอ่านจากหนังสือ หรือได้รับความรู้มาจากใครอื่นหรือเปล่า?

ความ จริงแล้วเพื่อนผมคนนี้เขาเปรียบเสมือนคนจุดประกายให้ผมสนใจในอิสลาม หลังจากนั้นผมจึงเริ่มกลับไปหาหนังสือมาอ่านเอง ส่วนเพื่อนนั้นได้ข่าวว่าเขาบินออกไปจากประเทศอังกฤษแล้ว

หลังจากที่คุณได้เป็นมุสลิมแล้วมีปัญหาอะไรบ้างไหม?

สำหรับคนที่ไม่ใช่มุสลิมต่ออิสลามแล้วแน่นอน ปัญหา หลักของคนที่เข้ารับอิสลามใหม่คือ การขาดการเรียนการสอนเรื่องราวเกี่ยวกับอิสลาม โดยเฉพาะหลักการยึดมั่นพื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้ และสิ่งที่ตรงข้ามกับอิสลาม และต้องหมั่นในการเรียนรู้ด้วย ผม เองหลังจากที่ผมได้ศึกษาอิสลามทำให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นและพบว่าอิสลามเป็น ศาสนาที่บริสุทธิ์ ไม่มีภาคีใดๆเป็นสื่อกลางระหว่างบ่าวกับผู้สร้าง

คุณสามารถปฏิบัติ อิบาดะห์ในอังกฤษ ได้อย่างเสรีหรือไม่ ?

ผมเชื่อว่าแผ่นดินของอัลลอฮ์นั้นกว้างใหญ่พอที่จะให้เราทำอิบาดะได้ ที่ ประเทศอังกฤษนั้นสามารถสร้างมัสยิดได้ ทำพิธีกรรมทางศาสนาได้ แต่จะมีปัญหาในการเรียน การสอนศาสนาอิสลาม เพราะผู้คนมักจะยุ่งอยู่กับการทำงานตลอดวัน และอีกนัยหนึ่งสังคมต่างจับตามองว่ามุสลิมเป็นชนหัวรุนแรง และเป็นผู้ก่อการร้าย ส่วนผู้หญิงก็ลำบากที่จะคลุมอิญาบในที่สาธารณะหรือที่ราชการ เป็นต้น

ในยุโรปบางประเทศมีการส่งสายลับไปสืบตามมัสยิดและศูนย์กลางอิสลาม คุณมีความเห็นอย่างไรบ้าง?

ครับแม้แต่อังกฤษก็มีการส่งสายลับจากรัฐบาลมาสืบ โดยการจ้างมุสลิมให้เป็นคนสืบมุสลิมอีกที แต่ ผมว่าหากเขาไม่สามารถจะปฏิบัติอีบาดะได้เพราะเนื่องจากมีการกีดกัน หากว่าเขามีความสามารถที่อพยพได้ก็ให้เขาอพยพไปยังประเทศมุสลิมเถิด เพราะสิ่งนั้นน่าจะดีที่สุด

คุณเริ่มเป็นนักดนตรีเมื่อไหร่? และมันเป็นเหตุให้คุณต้องทิ้งมันเพื่ออิสลามไหม ?

ส่วนใหญ่คนในครอบครัวของผม จะเล่นดนตรีกันทั้งนั้น เลยเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมมีอาชีพนักดนตรีตั้งแต่เด็ก จากเด็กจนโต ผมได้เข้าประกวดร้องเพลงมาหลายเวทีมาก และแต่ละเวทีที่ผมเข้าไปผลปรากฏว่าผมชนะมันเกือบทุกครั้ง แต่ตอนที่ผมเอียะติกาฟในเดือนรอมาฏอนผมได้ยินคอตีบกล่าวขณะที่เขาคุตบะฮ์ว่า

คุณได้จำเพลงเท่าไหร่แล้ว และคุณได้จำกรุอ่านเท่าไหร่กัน?

คุณมีความรู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่ได้อ่านอัลกรุอ่าน และในทางกลับกันยามที่คุณได้ร้องเพลงละคุณรู้สึกอย่างไร?

แล้วตอนนี้ละคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณได้อ่านอัลกรุอ่านหลังจากที่คุณได้เลิกจากการร้องเพลงแล้ว?

แต่ สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกถึงความหอมหวานของการอัลกรุอ่าน ตั้งแต่เริ่มต้นเลย และผมรู้สึกได้ว่ามันสามารถเยียวยาหัวอกของผมได้อย่างไรบ้าง ทั้งทีผมยังไม่เข้าใจความหมายก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมเกิดความสับสนอย่างมากว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างอัลกรุอ่าน หรือการร้องเพลง ซึ่งตอนนั้นมันแวบเข้ามาตอนที่ผมอยู่ในรถ จนกระทั่งได้ตัดสินใจไปพบครูท่านหนึ่งให้สอนอัลกรุอ่านและภาษาอาหรับให้ ฮัลฮัมดุลิลลาฮ์ จากนั้นเป็นต้นมาผมสามารถเลิกจากทุกอย่างที่เป็นเพลงได้ แล้วหันไปอ่านอัลกรุอ่านแทนเพราะครั้งใดที่ผมกลับไปร้องเพลง ผมพบว่ามันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจ แต่คราใดที่ได้อ่านอัลกรุอ่านมันทำให้ผมสบายใจทุกครั้งไป

คุณได้ทำงานแผยแพร่อิสลามแก่เพื่อนๆบ้างไหม หลังจากที่คุณเข้ารับอิสลามแล้ว?

อัลฮัมดุลิลลาฮ์ ครับผมทำอยู่ สำหรับงานดะอฺวะฮ์เป็นสิ่งสำคัญและเป็นภารกิจที่ใหญ่มาก เพราะ ผมพบกับคนที่คอยต่อต้านอิสลามเป็นร้อย ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ผมจะหมดไปกับการเดินตามถนน และในขณะเดียวกันส่วนใหญ่แฟนคลับที่คอยติดตามงานเพลงของผม พอพวกเขารู้ว่าผมเข้ารับอิสลามและเป็นนักดาอีย์ด้วยแล้ว กลับทำให้เรื่องดังกล่าวยิ่งมีผลต่อพวกเขามากขึ้น

อะไรเป็นเหตุให้คุณมาอยู่ที่ประเทศคูเวต ?

ผม อยากเรียนภาษาอาหรับต่อให้จบ และอีกเหตุผลหนึ่ง ผมได้แรงจูงใจมาจากผู้บริหารศูนย์เผยแพร่อิสลาม คือท่านยามาล อัชชะตีย์ ซึ่งผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับเขาที่ลอนดอน

ตอนนี้คุณกำลังทำงานอะไรอยู่?

ตอน นี้ผมกำลังเขียนหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งผมจะเล่าถึงเรื่องราวชีวิตและการเข้ารับอิสลามของผม พร้อมๆไปกับทำงานดะอฺวะฮ์ ในประเทศตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอียิปต์ และคูเวต ผมตั้งใจว่าผมจะพยายามรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากการไปประเทศเหล่านี้เพื่อข้อมูลในการอบรมให้แก่พี่น้องเราต่อไป

แล้วคุณว่าอย่างไรบ้างกับหุก่มของงานเพลงทุกชนิด รวมถึงการร้องหรือฟังเพลง ต่างก็เป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม?

เท่า ที่ผมรู้ บางฟัตวาอนุญาตให้ฟังได้ในเพลงบางชนิด แต่ในขณะเดียวกันก็มีการฟัตวาว่าเพลงเป็นที่ต้องห้ามในอิสลามไม่ว่าจะเป็น ชนิดใดก็ตาม แต่พึงรู้เถิดว่า ผลของการฟัตวาที่คุณพูด หากว่าเป็นเพลงที่ดี ให้สาระอะไรทำนองนี้ก็ไม่เป็นไร... แต่ส่วนตัวผมมีความเห็นว่า สำหรับ เพลงแล้วมันมีผลที่ก่อให้เกิดอันตรายมากต่อการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความรู้สึก ทั้งคนที่ร้องเองหรือคนที่ฟังก็ตาม มันทำให้คนร้องเกิดความยิ่งยโส โอ้อวด จนลืมอัลลอฮ์ เพราะ ในขณะที่เขาได้เสดงโชว์ต่อหน้าผู้ชมมากมายเขาจะรู้ตัวเองได้อย่างไร และไม่ว่านักดนตรีจะเป็นอย่างไรผู้ฟังก็จะเอาแบบอย่างไปใช้เช่นกัน ซึ่งบางครั้งเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี จนในที่สุดพวกเขาต้องลืมแบบอย่างที่ดีที่สุดที่เราควรเอาอย่างไป คือบรรดาศอฮาบะห์นั่นเอง ฉะนั้นผมเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ฮารอม(ต้องห้าม)ทั้งหมด


พี่น้องที่รักทั้งหลาย ดูเหมือนว่าไม่มีศาสนาใดอีกแล้วที่เที่ยงธรรมไปกว่า “อิสลาม” และไม่มีใดบุคคลใดที่มีอยู่ ณ พื้นพิภพนี้ที่โชคดีไปกว่าคนที่เป็น “มุสลิม” ไม่มีคำตอบใดที่สมบูรณ์แบบไปกว่าคำพูดของ “อัลลอฮ์ และซุนนะห์ของท่านนบี และไม่มีความจริงใดที่น่าพิสูจน์และน่าค้นหาไปกว่าการนับถือ “ศาสนาอิสลาม”

แล้ววันนี้คุณได้พบคำตอบที่คุณตามหาแล้วหรือยัง ?

หาก คำตอบของคุณว่า..ยัง...อิสลามมีทุกคำตอบที่คุณอยากรู้ และจงอย่าจากโลกใบนี้ไป ก่อนที่ท่านจะได้ลิ้มรสชาติของการเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม เพราะชัยชนะที่ถาวรนั้นอยู่ที่ชีวิตหลังความตาย

ووصى بها إبراهيم بنيه يعقوب يا بنيّ إنّ الله اصطفى لكم الدين فلا تمو تنّ إلا وأنتم مسلمون [ البقرة:132 ]

อัลลอฮ์ ตรัสไว้ความว่า

“และท่านนบีอิบรอฮีมได้สั่งเสียแก่ลูกๆของท่านให้ปฏิบัติตามแนวทางนั้น

และยะอฺกูบก็ได้สั่งเสียด้วยว่า..โอ้ลูกเอ๋ยแท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงเลือกศาสนาให้กับพวกเจ้าแล้ว

ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าได้ตายเสียก่อนที่เจ้าจะเป็นผู้นับถือในศาสนาอิสลาม”

(อัลบากอเราะฮ์ 132)

undefined

เพราะ ความตาย คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเข้ารับอิสลาม......แล้วคุณละพบคุณค่าในการเป็นมุสลิมแล้วหรือยัง ?

แปลและเรียบเรียงจากหนังสือพิมพ์รายวัน Alwatan Newapaper

جريدة الوطن

الموضوع : الكويت أكبر دول العالم حرية دينية وبها سأكتب قصة حياتي

0 ความคิดเห็น: