จากสงครามฝิ่นแผ่นดินจีน...สู่สงครามน้ำกระท่อมแผ่นดินปาตานี...

เรื่องที่ผู้เขียนตั้งใจเอามาเขียนเป็นบทความในครั้งนี้ โดยส่วนตัวของผู้เขียนเองมีความรู้สึกท้าทายตัวเองไม่น้อย แต่มีความตั้งใจที่อยากให้บทความชิ้นนี้เป็นอีกชุดความคิดหนึ่ง ที่สามารถเป็นคุณประโยชน์ให้แก่สังคมโดยทั่วไปได้ โดยเฉพาะคนหนุ่ม คนสาว ในปาตานี แผ่นดินเกิดของตัวผู้เขียนเอง ปฐมเหตุที่กระตุ้นให้ตัวผู้เขียนถ่ายทอดแนวคิดตัวเองต่อเหตุการณ์การระบาด ของยาเสพติดชนิดน้ำกระท่อม ที่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทุกๆพื้นที่ ที่น่าตกใจ บุคคลที่เป็นผู้เสพน้ำใบกระท่อม ส่วนใหญ่แล้วเป็นเยาวชนในพื้นที่ความขัดแย้งจังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบทั้ง สิ้น เฉลี่ยคือ 80-90% ของเยาวชนในพื้นที่ติดนำ้ใบกระท่อมอย่างงอมแงม อีกทั้งยังระบาดไปถึงเหล่านักศึกษาผู้เป็นความหวังของสังคม ในฐานะบุคคลที่มีกำลังกายที่แข็งแรงและมีพื้นที่ที่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาหา ความรู้เพื่อชี้แนะสังคม สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึกของผู้เขียน เมื่อได้ยินคนพูดว่า 80-90% เยาวชนในปาตานีติดน้ำกระท่อม ผู้เขียนเองจะมีความรู้สึกขัดแย้งในใจขึ้นมาทันทีว่า ไม่เชื่อ! มันไม่จริง! อะไร...คือเครื่องมือในการชี้วัดที่ยืนยันได้ว่าเยาวชนในปาตานี ติดน้ำใบกระท่อมเฉลี่ยแล้ว80-90%ของเยาวชนในพื้นที่ ผู้เขียนยังมีความรู้สึกเห็นแย้งกับแนวคิดดังกล่าว จนเป็นที่พูดคุยของคนหลายๆคนว่าเป็นเช่นนั้นจริง ผู้เขียนจึงเริ่มที่จะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ซึ่งก็น่าหดหู่ยิ่งนักกับคราวข่าวดังกล่าว มันเยอะขนาดนี้เลยหรือ ทำไม...มันต้องเกิดขึ้นในช่วงนี้ด้วย? ทำไม...มันต้องมาในช่วงที่บ้านเมืองในปาตานีกำลังมีเหตุแห่งความรุนแรง? ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏ ทำไมมันต้องเกิดมาในช่วงที่สังคมปาตานีต้องการคนหนุ่ม คนสาว เพื่อลุกขึ้น...มากอบกู้ ปกป้องมาตุภูมิของตนเอง ลุกขึ้น...มาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระดับรุนแรงในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ให้ดำเนินอยู่ด้วยสันติสุขที่ยั่งยืน ทำไม...พื้นที่ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐหลากหลายฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่กันอย่าง เคร่งครัด มีด่านตรวจบนถนนสายหลัก สายรองเป็นร้อยๆจุด แต่ปัญหาวัยรุ่นกับน้ำกระท่อมในปาตานี ไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป แม้ทางเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้นำชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมมือกันเพื่อหาวิธีในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ได้พยายามจัดให้มีโครงการต่างๆนาๆ เพื่อใช้พื้นที่ตรงส่วนนี้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด แต่สิ่งที่เห็นกลับขัดแย้งกับถ้อยแถลงที่สวยงามของโครงการ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดที่ยาเสพติดยังคงระบาดอย่างหนักในพื้นที่ปาตานี ทั้งๆที่มีการคุมพื้นที่อย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นคำถามที่ยังคงไร้วี่แววของคำตอบว่าเป็นเพราะเหตุใด?
เมื่อต้นเดือนธันวาคม ตัวผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเสวนา ภายใต้หัวข้อเรื่อง สงครามและสันติภาพ ประชาชน “ปาตานี” จะกำหนดชะตากรรมตนเองได้หรือไม่?อย่างไร? คำถามที่ผู้เขียนสงสัยว่าเหตุใดยาเสพติดชนิดน้ำกระท่อมถึงระบาดหนักใน พื้นที่ปาตานี มีผู้เสวนาท่านหนึ่งในวงเสวนาเดียวกันนี้ คือนายการิยา มูซอ เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.)ได้พูดถึงประเด็นของ สงครามฝิ่นว่ามีเป้าประสงค์ซ่อนเร้นเหมือนกันกับสงครามน้ำกระท่อมในปาตานี ผู้เขียนเองจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ใช่สงครามฝิ่นที่ประเทศจีน อาจเป็นคำตอบที่เราตามหาก็เป็นได้ จึงกลับไปศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูล แต่ข้อมูลที่ได้มา คงต้องใช้พื้นที่กระดาษอีกหลายแผ่นทีเดียว ผู้เขียนจึงขออนุญาตสรุปความเป็นมาของเหตุการณ์สงครามฝิ่นที่ประเทศจีนในแบบ ของผู้เขียนเอง เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น และกระชับพื้นที่กระดาษมากขึ้น (หากมีความเข้าใจผิดพลาดประการใดขอช่วยชี้แนะความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย)
มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง ชื่อว่า “บ้านจีน” บ้านจีนมีผู้ปกครองเป็นของตนเอง มีประชาชนเป็นของตนเอง มีอำนาจทางการเมือง การปกครองเป็นของตนเอง มีกองกำลังทหารเป็นของตนเอง มีอำนาจบริหารเศรษฐกิจเป็นของตนเอง มีกฏหมายเป็นของตัวเอง และมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง บ้านจีนมีความมั่งคั่งร่ำรวยด้านทรัพยากรต่างๆมากมาย โดยเฉพาะใบชา ผ้าไหม และฝ้าย ในยุคที่บ้านจีนปกครองบ้านเมืองอย่างมีความสุข คนหนุ่ม คนสาวขยันขันแข่งในการช่วยชาติ บ้านเมือง แต่เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่โจรตะวันตกผู้โลภมาก มีนิสัยรักการออกปล้นบ้าน ปล้นเมืองคนอื่นไปเป็นของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ นั้นคือโจรบ้านอังกฤษ และจีนก็เป็นหนึ่งในแผนการชั่วของโจรบ้านอังกฤษ เขาต้องการเพียง ใบชา ผ้าไหม ฝ้าย แต่ด้วยความชั่วที่มีอยู่ของบ้านอังกฤษ จะติดต่อเจรจาแบบนักการค้าทั่วๆไปไม่ได้ ต้องมีอะไรบางอย่างที่สามารถหลอกให้บ้านคู่เจรจาหลงกลชั่วของเขาให้ได้ เพื่อที่จะสามารถเข้าไปปล้นบ้านเขาในครัั้งหน้าอย่างสบาย แล้วถ้าได้เปลี่ยนคนในบ้านให้เป็นคนของเขา ก็ยิ่งดี ดังนั้นบ้านจีนถูกบ้านอังกฤษใช้แผนชั่วหลอกล่อด้วยฝิ่น โดยอ้างว่ามันคือยา ต่อมาชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่ม-คนสาว ติดฝิ่นกันงอมแงม ไม่สนใจการบ้าน การเมือง ไม่สนใจการเรียนหนังสือ ใครจะเป็นอะไรฉันไม่สน ขอตัวเองได้เสพฝิ่นไปวันๆก็เพียงพอ หลังจากที่มอมยาคนในบ้านจีนสำเร็จแล้ว ทำให้คนบ้านจีนโดยเฉพาะเยาวชนจมปลักอยู่กับการเสพฝิ่น ไม่สนใจการบ้าน การเมืองว่าจะเป็นเช่นใด บ้านอังกฤษจึงปฏิบัติการชั่วโดยทันที บ้านอังกฤษได้ทั้งใบชา ผ้าไหม ฝ้าย เพื่อส่งกลับไปยังโรงงานในบ้านของตน อีกทั้งยังได้กำไรมหาศาลจากการค้าฝิ่นอีกด้วย แต่ใช่ว่าคนในบ้านจีนทัั้งหมดจะติดฝิ่นกันงอมแงม ยังคงมีกลุ่มคนที่เป็นยังเป็นห่วงบ้าน ห่วงเมืองตัวเอง ได้เห็นความหายนะที่ก่อโดยคนนอกพื้นที่ เข้ามาจัดการกับทรัพยากรในบ้านของเราเหมือนเป็นบ้านของตน เราต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องบ้านของเรา และขับไล่คนชั่วออกไปจากบ้านของเรา จึงมีการรวมคนในบ้านจีนให้เป็นหนึ่งเพื่อลุกขึ้นต่อสู้กับการค้าฝิ่นของบ้าน อังกฤษ จนได้ประสบความสำเร็จในที่สุด บ้านจีนกลับมาเป็นบ้านจีนที่อยู่อย่างมีความสุขเช่นเดิม ผู้คนในบ้านจีนสำนึกถึงบทเรียนความผิดพลาดในอดีต แล้วสร้างคนในบ้านจีนให้เป็นหนึ่งอย่างเข้มแข็ง จนมาถึงวินาทีนี้บ้านจีนได้ผงาดเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจของโลก เป็นบ้านหน้าด่านคุ้มกันเอเชีย จนทุกวันนี้เราต้องยอมรับถึงความรักชาติ รักเมือง ของเยาวชนและผู้คนในบ้านจีนที่ช่วยกันสร้างให้บ้านจีนเป็นได้เช่นทุกวันนี้
สงครามฝิ่นที่เกิดขึ้นที่บ้านจีน ไม่ได้ต่างอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านปาตานี เพียงแค่เปลี่ยนชนิดของยาเสพติด จากฝิ่นมาเป็นน้ำใบกระท่อม เปลี่ยนชื่อบ้านโจรที่ชอบโขมยของคนอื่นเป็นของตน จากบ้านอังกฤษ มาเป็นบ้านปีศาจ...มารร้าย(ชัยฏอน) ที่กลุ่มคนในบ้านปาตานีรู้ดีว่า ในบ้านปีศาจหลังนั้นมีใครอยู่บ้าง ระยะทางของบ้านปีศาจ...มารร้าย(ชัยฏอน)กับบ้านปาตานี ห่างกันเพียงแค่วันเดียวกับหนึ่งคืนหากใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทาง ระยะทางห่างกันประมาณกว่า 1,000 กิโลเมตร เปลี่ยนชนิดของผลประโยชน์ จากใบชา ผ้าไหม ฝ้าย เป็น แก๊ซ น้ำมัน แร่ดีบุก เป็นต้น ยิ่งวันทรัพยากรภายในบ้านปาตานีก็ิยิ่งสูญ ภาษีที่ควรได้กลับไปรวมอยู่ที่บ้านของโจร(ชัยฏอน) ความห่างเหินด้านศาสนาของเยาวชนในบ้านปาตานีมีมากขึ้น สำนึกที่จะปกป้องศาสนาเฉกเช่นเยาวชนอิสลามในอดีตได้หายจาก เป็นเหตุให้ผู้รู้ในท้้องที่ ปราชย์ชาวบ้าน กวีท้องถิ่น เยาวชนคนหนุ่ม คนสาว รวมพลังกันปลุกเร้าให้คนในพื้นสำนึกคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้รู้ออกมาปลุกเร้าเตือนใจคนหนุ่ม สาว ว่าท่านคือความหวังของประชาชาติอิสลาม ปราชย์ชาวบ้านเขียนบทเพลงพื้นบ้านไว้เป็นเครื่องเตือนใจแก่คนหนุ่มสาวว่า “บ้านใคร ใครก็รัก บ้านใคร ใครก็ห่วง” นักกวี เขียนกวีย้ำในตำราว่า “เราต้องรวมใจให้เป็นหนึ่ง พลังเยาวชนคนหนุ่มสาว ผ่าได้แม้ภูผา” กลุ่มเยาวชนปัญญาชน ใช้พลังกายที่เข้มแข็งบวกกับปัญญาความรู้ที่ประสิทธิ์ประสาทมา ถ่ายทอดสำนึกคิดในบทบาทที่ควรจะเป็นของเยาวชนมุสลิม อัลลอฮไม่ทรงเปลี่ยนกลุ่มชนหนึงกลุ่มชนใด นอกเสียจากว่ากลุ่มชนนั้นจะเปลี่ยนตนเองเสียก่อน
สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอจบการเขียนวิพากษณ์สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับเยาวชนปาตานี ในวันนี้ โดยขอฝากประโยคเพียงไม่กี่ประโยคว่า ตื่นเถิด...พี่น้องข้า...มลายูปาตานี ตื่นเถิด...เยาวชนคนหนุ่มสาวมลายูปาตานี ตื่นจากการหลับไหล่ลุ่มหลงในดุนยา จงปลดแอก...จงปลดแอก... จงปลดแอก...ตัวเองด้วยอิสลาม ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องสถาปนารัฐแห่งอิสลามที่เที่ยงตรงให้เกิดขึ้นจริง แม้เบื่องต้นทำได้แค่เพียงมีอยู่ในหัวใจของเราก็ตาม มันกำลังจะเป็นกงล้อแห่งอิสลามที่จะหมุนมาบรรจบในทุกๆด้าน และเมื่อกงล้อแห่งอิสลามมาบรรจบแล้วไซร้ ญามาอะห์(กลุ่มผู้รวมตัวในหนทางแห่งอัลลอฮฺ)นี้จะนำพาประชาชาติอิสลามไปก้ม กราบพระผู้เป็นเจ้าอย่างภาคภูมิ อินชาอัลลอฮ.

จามาล อับดุลเราะห์มาน คอยรอน (กีไร)



0 ความคิดเห็น: