::.ฮาลาลและฮารอมในอิสลาม.


بسم الله الرحمن الرحيم


الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين




ฮาลาลและฮารอมในอิสลาม



อัลลอฮฺทรงให้ความจำเริญแก่มนุษย์ทั้งมวลด้วยอาหารหลากหลายชนิดบนโลก และพระองค์ทรงอนุญาตให้มนุษย์บริโภคสิ่งที่อนุมัติ(หะล้าล)และสิ่งที่ดีๆ ซึ่งมีมากมาย ซึ่งอัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้มีความหมายว่า " มนุษย์เอ๋ย! จงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดี จากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินและจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า" (อัลบะเกาะเราะฮฺ 168)


อาหารที่อัลลอฮฺทรงห้ามนั้นมีเล็กน้อย ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้มีความหมายว่า " จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันนั้นมีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภค ที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง หรือเลือดที่ไหลออก หรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด ซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮฺที่มัน ถ้าผู้ใดได้รับความคับขันโดยมิใช่เป็นผู้แสวงหาและมิใช่ผู้ละเมิดแล้วไซร้ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา" (อัลอันอาม 6-145)


ท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามรับประทานสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหารที่มีเขี้ยวเล็บ, นกทุกชนิดที่มีกรงเล็บ (บันทึกโดยมุสลิม 6/60) และท่านได้ห้ามทานเนื้อลาบ้าน (บันทึกโดย al-Mukhari in al-Fath, no. 4215)


อาหาร ทั่วไปในปัจจุบันนี้บางชนิดหะรอมชัดเจน เช่น เนื้อจากสัตว์ที่ตายเองโดยไม่ได้เชือดอย่างถูกต้องตามหลักการอิสลาม และเนื้อสุกร อาหารบางชนิดประกอบด้วยส่วนผสมที่หะรอมหรือส่วนผสมที่ผลิตจากอาหารหะรอม ซึ่งเราต้องตรวจสอบว่ามันมาจากอะไรเพื่อที่จะตัดสินได้ว่ามันหะล้าลหรือหะ รอม ส่วนเจลาตินนั้นมีที่มาจากหนัง กระดูกหรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่หะรอม เช่น สุกร เจลาตินที่ได้มาจากคอลลาเจนของสุกรนั้นหะรอม แม้ว่าสุกรจะเปลี่ยนสภาพเป็นเกลือแล้วก็ตาม ซึ่งในทัศนะที่ถูกต้องนั้นถือว่าหะรอม เพราะที่มาของมันคือสุกรซึ่งหะรอม


ไขมันที่เราใช้ในอาหารนั้น มีที่มาจากพืชหรือสัตว์ ถ้ามาจากพืชนั้นแน่นอนว่าหะล้าล ถ้าหากมันไม่ได้ผสมกับสิ่งที่ไม่สะอาด(นะญิส)หรือมีสิ่งปนเปื้อนอื่นใด แต่ถ้าเป็นไขมันจากสัตว์ ซึ่งอาจจะเป็นสัตว์ที่อนุญาตให้รับประทานหรือสัตว์ที่ไม่อนุญาตก็ได้ ถ้าหากมันมาจากสัตว์ที่หะล้าล ก็อยู่ในหุกุ่ม(กฎเกณฑ์)เดียวกับเนื้อของสัตว์นั้น แต่ถ้ามันมาจากสัตว์ที่หะรอม (เช่น สุกร) เราก็ต้องพิจารณาว่ามันใช้ในอาหารหรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น


* ถ้าหากใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร เช่น สบู่ นักวิชาการมีทัศนะที่แตกต่างกัน แต่ทัศนะที่ถูกต้องคือหะรอม


* ถ้าหากใช้ในอาหาร เช่น ไขมันหมูที่ใช้ในขนมหวานหรืออาหารอื่นนั้นหะรอม


สำหรับเนยแข็ง (cheese) ถ้า ทำจากนมของสัตว์ที่ไม่อนุญาตให้รับประทาน นักวิชาการมีมติเอกฉันท์ที่ไม่อนุญาตให้ทานเนยแข็งนั้น แต่ถ้าทำจากนมของสัตว์ที่อนุญาตให้รับประทาน และใช้เอนไซม์เรนเน็ตที่ได้จากสัตว์ที่เชือดอย่างถูกต้องตามหลักการอิสลาม และไม่มีส่วนผสมที่เป็นนะญิส(ไม่สะอาด)ก็รับประทานได้ ,สำหรับเรนเน็ตได้มาจากสัตว์ตาย(ตายเองโดยไม่ได้เชือดอย่างถูกต้อง) นักวิชาบางท่านมีความเห็นว่ารับประทานได้ แต่ในทัศนะที่ถูกต้องคือมันหะรอมเช่นกัน, ส่วนเรนเน็ตจากสัตว์ที่เป็นนะญิส เช่น สุกร นั้นไม่ควรรับประทาน (ดู Ahkaam al-At’imah fi’l-Sharee’ah al-Islamiyyah by al-Tareeqi, p. 482)


มี หลายกรณีที่ไม่ชัดเจนสำหรับมุสลิม คือไม่รู้ที่มาของวัตถุเจือปนอาหาร ซึ่งทางที่ดีคือให้เกรงกลัวอัลลอฮฺและหลีกเลี่ยงสิ่งที่สงสัย ดังหะดีษที่รายงานโดย (รายงานโดยท่าน บุคอรีย์ และมุสลิม ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา) ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า


عَنْ أَبِيْ عَبْدِ اللهِ النُّعْمَانِ بْنِ بِشِيْر رضي الله عنهما قَالَ: سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صلى الله عليه وسلم يَقُوْلُ: (إِنَّ الحَلالَ بَيِّنٌ وَإِنَّ الحَرَامَ بَيِّنٌ وَبَيْنَهُمَا أُمُوْرٌ مُشْتَبِهَات لاَ يَعْلَمُهُنَّ كَثِيْرٌ مِنَ النَّاس،ِ فَمَنِ اتَّقَى الشُّبُهَاتِ فَقَدِ اسْتَبْرأَ لِدِيْنِهِ وعِرْضِه، وَمَنْ وَقَعَ فِي الشُّبُهَاتِ وَقَعَ فِي الحَرَامِ كَالرَّاعِي يَرْعَى حَوْلَ الحِمَى يُوشِكُ أَنْ يَقَعَ فِيْهِ. أَلا وَإِنَّ لِكُلِّ مَلِكٍ حِمَىً . أَلا وَإِنَّ حِمَى اللهِ مَحَارِمُهُ، أَلا وإِنَّ فِي الجَسَدِ مُضْغَةً إِذَا صَلَحَتْ صَلَحَ الجَسَدُ كُلُّهُ وإذَا فَسَدَت فَسَدَ الجَسَدُ كُلُّهُ أَلا وَهيَ القَلْبُ) رواه البخاري ومسلم .


จาก ท่านอบีอับดิลลาฮินนัวะมาน บุตรของชีริน ร. ด. ย อันฮุมาได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านร่อซู้ลลั้ลลอฮ์(ซ,ล) ได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่อนุญาตนั้นชัดเจน และสิ่งที่ห้ามนั้นก็ชัดเจน แต่ในระหว่างทั้งสองนั้น มีประการที่สงสัยเกิดขึ้นในกฎข้อบังคับของมัน และผู้คนโดยมากแล้วไม่ทราบความแน่นอนของมัน ฉะนั้นผู้ใดที่กลัวว่าตัวของเขาจะตกเข้าไปอยู่ในสิ่งที่สัยแล้ว ก็จงให้ศาสนาของเขาและศักดิ์ศรีของเขาพ้นเสียจากตำหนิติเตียนเถิด และผู้ใดได้ตกเข้าไปอยู่ในสิ่งหรือประการที่สงสัยแล้ว ก็เท่ากับเขาได้ตกเข้าไปอยู่ในสิ่งนั้น หรือประการที่ห้ามแล้ว ประดุจดังคนเลี้ยงสัตว์ซึ่งเขาทำการเลี้ยงสัตว์อยู่ในที่รอบๆสถานที่หวงห้าม มันก็ใกล้ที่จะเข้าไปในที่นั้นแล้ว โปรดทราบเถิดว่า แท้จริงทุกๆเจ้าของที่เป็นผู้ปกครองนั้น เขาหวงห้าม โปรดทราบเถิดว่า และแท้จริงการห้ามของอัลลอฮ์นั้นคือบรรดาสิ่งที่ห้ามของพระองค์ โปรดทราบเถิดว่าและแท้จริงในร่างกายนั้น มีเนื้อยู่ก้อนหนึ่งในเมื่อมันดีแล้ว ร่างกายทั้งหมดก็ดี แต่ในเมื่อมันเสียแล้ว ร่างกายทั้งหมดก็เสีย โปรดทราบเถิดว่า เนื้อก้อนนั้นก็คือ หัวใจ (รายงานโดยท่าน บุคอรีย์ และมุสลิม)



ส่วน ผู้ที่ตกลงไปในการกระทำสิ่งที่คลุมเครือ เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่ต้องห้าม เช่นเดียวกับผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์ในที่ดินที่ต้องห้าม (เช่นสวนของคนอื่น) ไม่ช้ามันก็จะเข้า(ไปกิน)ใน(สวน)นั้น จงจำไว้ว่า ผู้ปกครองทุกคนมีขอบเขตที่ต้องห้าม จงจำไว้เถิดว่า ที่อัลลอฮฺทรงห้ามนั้นคือสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงอนุมัติ


จง จำไว้ว่า ในร่างกายนั้นมีเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายนั้นก็ดีด้วยแต่เมื่อมันเสีย ร่างกายก็จะเสียไปด้วย จงจำไว้ว่ามันคือ หัวใจ " (หะดีษนี้บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม)



จาก .........หะดีษข้างต้นเราได้บทเรียนว่า อาหารโดยทั่วไปนั้นหะล้าล นอกจากสิ่งที่มีความชัดเจนว่ามันหะรอม เช่น สัตว์ตายเอง, เลือด, สัตว์ที่ถูกเชือดเพื่ออื่นจากอัลลอฮฺ, สัตว์ที่เชือดโดยไม่ได้กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ ฯลฯ ถ้าหากว่ามันชัดเจนว่ามีส่วนผสมจากสิ่งหะรอมในอาหารนั้นก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง อาหารนั้น ถ้าคุณไม่แน่ใจว่ามันหะรอมหรือไม่ (โดยปราศจากการกังวลเกินไปหรือการกระซิบกระซาบจากชัยฏอน)มันก็เป็นการดีกว่า ที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นเพื่อป้องกันไว้ก่อน ด้วยความยำเกรงอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ยิ่ง




สิ่งที่ศาสนาอิสลามห้ามรับประทาน


1, สัตว์ดุร้ายที่ห้ามรับประทาน ได้แก่ สัตว์ที่มีเขี้ยวงาแข็งแรง และใช้เขี้ยวงานั้นทำร้าย เช่น สุนัข สุกร หมาป่า หมีแมว ช้าง เสือ เสือโคร่ง เสือดาว และลิง เป็นต้น ส่วนสัตว์ที่มีเขี้ยวงาที่ไม่แข็งแรง และไม่ถึงขั้นที่จะใช้ทำร้ายได้ ก็ไม่ห้ามรับประทาน


2,ห้าม (ฮะรอม) รับประทาน สัตว์ทุกชนิดที่สุนัตให้ฆ่ามัน เช่น งู แมงป่อง อีกา เหยี่ยว หนู และสัตว์ที่ห้ามรับประทาน ไม่ว่าชาวอาหรับจะเห็นว่าน่ารับประทานหรือไม่ก็ตาม


3,สัตว์บกตัวเล็กๆ และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมด เป็นสิ่งที่ฮะรอม เช่น มด แมลงวัน ด้วง แมลงที่กินมูลสัตว์ หนอน ตัวเรือด เหา จิ้งหรีด จิ้งจก เป็นต้น สัตว์ที่มีเหล็กในและมีพิษ เช่น ผึ้ง ต่อ แตน เป็นต้น ยกเว้น ตั๊กแตน เม่น แย้ หนูจิงโจ้ ส่วนหนอนในน้ำส้มและหนอนผลไม้นั้นศานสนาอภัยให้ ถ้าหากรับประทานไปพร้อมกับน้ำส้มหรือน้ำผลไม้


4,นกที่ฮะรอม ได้แก่ นกแก้ว นกยูง แร้ง บุฆอซะห์ นกสีขาวบินช้าตัวเล็กว่าเหยี่ยว มีกงเล็บไม่แข็งแรง คุตตอฟ นกชนิดหนึ่งที่หลังดำท้องขาวอยู่ตามบ้านเรือน ในฤดูฝนบินว่องไว และค้างคาว เป็นต้นฯ


5,สิ่งที่เปี้อนนะยิส และไม่สามารถทำความสะอาดได้ ได้แก่ ของเหลวทุกชนิดที่มีนะยิสตกลงไป เช่น น้ำส้มและน้ำมันเป็นต้น


6,สิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่าางกาย เข่น ก้อนหิน ดิน กระจก ยาพิษ ฝิ่น ยาเสพติ เป็นต้นฯ


สิ่งที่ศาสนาอิสลามให้รับประทานได้


สัตว์ทุกชนิดที่ชาวยอาหรับเห็นว่าดีรับประทานได้ในยามปกติสุข ในยามปกติสุข และในยุคของท่านนบี(ซ,ล)ถือว่า ฮะลาล และนับว่าอยู่ในหลักการข้อนี้เช่นกัน


1,อันอาม ได้แก่ อูฐ วัว แพะ แกะ และม้า วัวกระทิง เก้ง กระต่าย นกกระจอกเทศ เป็ด ห่าน ไก่ นกเอี้ยง ไก่ป่า นกกระทาและนกพิราบและสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายนกกระจอก แม้จะมีสีต่างกันหรือต่างชนิดกันก็ตาม และสัตว์อื่นๆ ที่ชาวอาหรับเห็นว่ารับประทานได้และมีบัญญัติว่าอนุญาตให้รับประทาน สัตว์ที่ชาอาหรับเห็นว่ารับประทานได้ ถ้าหากมีบัญญัติว่าห้ามรับประทาน ก็ไม่อนุญาตให้รับประทาน เช่น ล่อและลา เป็นต้น ฯ


2, ทุกสิ่งที่สะอาดและไม่มีอันตรายและไม่เป็นสิ่งที่รู้สึกขยะแขยง เช่น ดอกไม่ ผลไม้เมล็ดต่างๆ ไข่ เนยแข็ง เป็นต้น ส่วนสิ่งที่รู้สึกขยะแขยง ถือว่า ฮะรอมเช่นขี้มูก และอสุจิ เป็นต้น


3,นมของสัตว์ที่ศาสนาอนุญาตให้รับประทานเนื้อได้ ส่วนนมของสัตว์ที่ศาสนาไม่อนุญาติให้รับประทานเนื้อ นั้นถือว่าฮะรอม ยกเว็นมนุษย์ ที่ถือว่าสะอาดและอนุญาตให้รับประทานได้


4,สัตว์ที่มีชีวิตอยู่ในน้ำ เท่านั้น เช่น ปลาทุกชนิด ไม่ว่าจะมีซื่อเรียกว่าอะไรก็ตามถือว่าฮะลาล เพราะชาวอาหรับถือว่าเป็นสิ่งที่ดีน่ารับประทานและได้มีบทบัญญัติยืนยันว่า ฮะลาล และอนุญาตให้รับประทานได้



วัตถุเจือปนอาหารและ E-number


ความหมายของวัตถุเจือปนอาหาร


วัตถุเจือปนอาหาร หมายถึง “วัตถุที่ตามปกติมิได้ใช้เป็นอาหารหรือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาหาร ไม่ว่าวัตถุนั้นจะมีคุณค่าทางอาหารหรือไม่ก็ตามแต่ใช้เจือปนในอาหารเพื่อ ประโยชน์ในทางเทคโนโลยีในการผลิต การบรรจุ การเก็บรักษา หรือการขนส่งซึ่งมีผลต่อคุณภาพหรือมาตรฐานหรือลักษณะของอาหาร และให้หมายความรวมถึงวัตถุเจือปนอาหาร แต่ใช้รวมอยู่กับอาหารเพื่อประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นด้วย” (ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 84 (พ.ศ. 2527) และประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 119 (พ.ศ. 2532))


ส่วน E-number คือรหัสของวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) ซึ่งกำหนดโดยสหภาพยุโรป(EU) ใช้ในประเทศสมาชิกยุโรป รวมทั้ง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยใช้ตัว E ตามด้วยรหัสตัวเลขดังนี้



วัตถุ เจือปนอาหารเหล่านี้ผลิตจากสัตว์, พืช, จุลินทรีย์, หรือสารเคมี ทำให้เกิดข้อสงสัยในหมู่มุสลิมว่าสิ่งเหล่านี้จะรับประทานได้หรือไม่ ซึ่งนักวิชาการอิสลามก็มีทัศนะที่แตกต่างกัน


* กลุ่มหนึ่งเห็นว่าส่วนผสมเหล่านี้ได้เปลี่ยนสภาพไปแล้ว(อิสติฮาละฮฺ เทียบ เคียงกับกรณีของน้ำผลไม้ที่หมักจนเกิดอัลกอฮอล์และกลายเป็นน้ำส้มสายชูซึ่ง หะล้าล, และกรณีมูลสัตว์ที่เผาจนเป็นขี้เถ้าแล้วไม่ถือเป็นนะญิส) จึงอนุญาตให้รับประทานได้ (จาก เชคอะหมัด มุคตาร อัชชังกิฏียฺ , European Council for Fatwa and Research, ดร.ญะอฺฟัร อัลกอดิรียฺ และเชคอัลบานียฺเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย)


* และ อีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่าต้องพิจารณาให้ละเอียดว่าวัตถุเจือปนอาหารเหล่านี้มี ที่มาจากอะไร หะล้าลหรือไม่ แม้ว่ามันจะเปลี่ยนสภาพไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากที่มาของมันหะรอม (เช่น เนื้อหรือไขมันสุกร, สัตว์ที่ไม่ได้เชือดตามหลักการอิสลาม ฯลฯ) วัตถุเจือปนอาหารเหล่านั้นก็หะรอมด้วย ซึ่งนักวิชาการอิสลามที่เห็นด้วยกับทัศนะนี้มีหลายท่าน เช่น เชคมุฮัมมัดซอลิหฺ อัลมุนัจญิด , เชคมุฮัมมัด อิกบาล อัลนัดวียฺ เป็นต้น


สำหรับรายการวัตถุเจือปนรหัส E และสถานะของมัน (หะล้าล หะรอม มุชตะบิฮาต) นั้นมีเผยแพร่ในหลายเว็บไซต์สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ดังนี้


http://www.muslimconsumergroup.com/


http://www.eathalal.org/e_numbers.htm


http://www.fianz.co.nz/ >>> halal manual >>> Food Additive IFANCA List


http://special.worldofislam.info/Food/numbers.html



ทัศนะของอิสลามต่อแอลกอฮอล์ในอาหารนั้น มี 2 ทัศนะ (เท่าที่ทราบและสามารถค้นได้)


1. นักวิชาการศาสนาบางท่านเห็นว่าอาหารที่ประกอบด้วยกลิ่นผสมแอลกอฮอล์หรือมีแอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลายนั้นไม่หะล้าล เช่น ดร.อับดุลลอฮฺ อัลฟะกีหฺ, เชคอะหมัด Kutty (a senior lecturer and Islamic scholar at the Islamic Institute of Toronto,Ontario, Canada), MCG ulema


2. มีความเห็นว่าหะล้าลถ้าใช้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้มึนเมา เช่น EU council of fatwa and research, Fiqh Council of North America, IFANCA ซึ่งมีรายละเอียดลงไปว่า ถ้ามีแอลกอฮอล์น้อยกว่า 0.1% ในผลิตภัณฑ์อาหาร หรือ แอลกอฮอล์น้อยกว่า 0.5% ในส่วนผสม (เช่น ในวนิลลาสกัด) เป็นระดับที่ต่ำมากไม่มี รส กลิ่น หรือลักษณะของแอลกอฮอล์ ถือว่าหะล้าล, และ เชคมุฮัมมัด อัลมุคตาร อัชชังกีฏียฺ (director of the Islamic Center of South Plains, Lubbock, Texas) เห็นว่า แอลกอฮอล์ในอาหารไม่ถึง 0.5% นั้นไม่ทำให้มึนเมา ถือว่าหะล้าล(อนุญาตให้ใช้ได้)


อิสลามกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์.



เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายเป็นยาพิษที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายได้ในหลายๆ ประเทศอย่างไรก็ดีอิสลามก็มีข้อห้ามเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลามากกว่า1400 กว่าปีมาแล้ว


อิสลามห้ามดื่มเครื่องมึนเมาทุกชนิดโดยไม่คำนึงว่ามันทำมาจากอะไรหรือดื่มมากน้อยแค่ไหน เพราะอิสลามถือว่าการดื่มมากเป็นสาเหตุทำให้เมาและการห้ามดื่มแม้จำนวนเล็กน้อย ก็เพราะนักดื่มเหล้าก็มักจะเริ่มจากการดื่มที่ละน้อยก่อน และกลายเป็นทาสของมันในที่สุด


ท่านผู้อ่านที่เคารพผมขอหยิบยกเกี่ยวกับเรื่องนี้ในประเด็นหลักๆอยู่สี่ประเด็นด้วยกัน


โทษของแอลกอฮอล์


ผลของแอลกอฮอล์ต่อกระเพาะอาหาร


เป็นที่เชื่อกันว่าแอลกอฮอล์ช่วยให้เจริญอาหารแต่ที่จริงแล้วมันช่วยให้เจริญอาหารในอาทิตย์หรือเดือนแรกที่ดื่มเท่านั้นหลังจากนั้นกระเพาะและทางเดินอาหารส่วนอื่นๆก็จะอักเสบและมีแผลทำให้ผู้ดื่มอาเจียนและไม่อยากอาหาร


ผลของแอลกอฮอล์ต่อความอบอุ่นของร่างกาย


นอกจากนี้ยังเป็นที่เชื่อกันว่าแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายอบอุ่นแต่จริง ๆแล้วไม่ได้อุ่นอย่างแท้จริงความอุ่นนี้เกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดที่ผิวหนังแต่ตัวผู้ดื่มโดนอากาศเย็นเขาจะสูญเสียความอบอุ่นและพลังงานในตัวไปและอาจจะเสียชีวิตเพราะความหนาวได้ในขณะที่คิดว่าเขากำลังได้รับความอบอุ่นบุตรหลานของผู้ดื่มแอลกอฮอล์มีแนวโน้มที่จะติดแอลกอฮอล์ด้วยเขาจะได้รับความทรมานทางจิตใจและมีโอกาสเป็นอาชญากรได้ง่าย


ผลของแอลกอฮอล์กับสมอง


แอลกอฮอล์มีผลอย่างมากต่อสมองไขสันหลังและระบบประสาทโดยทั่วไปเซลล์ประสาทเหล่านี้จะควบคุมกล้ามเนื้อและระบบต่างๆ ในร่างกายถ้าดื่มเหล้าขณะขับรถจะไม่สามารถควบคุมความเร็วหรือตอบโต้ในกรณีฉุกเฉินหรือหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้เมื่อคนดื่มเหล้ามาก ๆเขาจะสังเกต ตัดสินใจและตอบโต้ได้ไม่ดีผู้ดื่มจะเสียสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจแม้จะเป็นเหล้าไวน์จำนวนเล็กน้อยก็ตาม


คนที่ดื่มไวน์เป็นประจำความสามารถและประสาทสัมผัสของเขาจะเสื่อมลงเช่น การเห็น การรับรส การดมกลิ่นความสามารถในการเข้าใจและการทำงานของกล้ามเนื้อจะเสียไปด้วยในบางประเทศมีการวิจัยว่า 50 %ของผู้เสียชีวิตมีสาเหตุทั้งทางตรงและทางอ้อมมาจากการดื่มแอลกอฮอล์


นอกจากแอลกอฮอล์จะมีผลร้ายต่อสมองแล้วยังทำให้น้ำย่อยในกระเพาะมีความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้นทำให้กระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลได้ ถ้าผู้ที่มีแผลในกระเพาะอยู่แล้วดื่มไวน์เข้าไปแม้แต่เพียงแก้วเดียวก็จะทำให้กระเพาะอาหารเลือดออกหรือทะลุได้


แอลกอฮอล์กับความต้องการทางเพศ


เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ความต้องการทางเพศเพิ่มสูงขึ้นซึ่งจะทำให้ผู้ดื่มกระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรมได้เพราะสมองไม่สามารถควบคุมได้ตามปกติในกรณีนี้จะทำให้คุณค่าทางสังคมเสื่อมไปอย่างไรก็ตามการดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดกามตายด้านได้อิสลามมองเห็นในสิ่งนี้จึงห้ามการดื่มแอลกอฮอล์นอกจากนี้พิษของแอลกอฮอล์จะทำให้ตาบอดและหัวใจล้มเหลวได้


แอลกอฮอล์นำไปสู่การดื่มที่มากขึ้น


อันตรายอย่างหนึ่งของการดื่มแอลกอฮอล์คือจะทำให้มีการเสพติดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่โรคที่ร้ายแรง คือพิษสุราเรื้อรังโรคนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ


ในปัจจุบันประเทศที่อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้จะได้รับผลเสียหายจากจำนวนผู้ติดสุราเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นสหรัฐอเมริกาจำนวนผู้ติดสุราเพิ่มจากจำนวน 4ล้านคน ในปี 1960 เป็น 10 ล้าน คนในปี 1970ในอังกฤษจำนวนผู้ติดสุราเพิ่มจาก5 แสนคนเป็น 1ล้านคนและในยุโรปบางประเทศจำนวนผู้ติดสุรามีถึง8 ใน 10 ของจำนวนประชากร


แอลกอฮอล์กับสุขภาพ


การดื่มแอลกอฮอล์จะทำลายการทำงานของระบบประสาทเนื่องจากพิษของมันนอกจากนี้ยังมีผลต่อร่างกายและจิตใจด้วยเช่น ทำให้ชัก และเพ้อคลั่งแอลกอฮอล์ยังทำให้เกิดภาวะขาดอาหารเนื่องจากทางเดินอาหารอักเสบเกิดอาเจียนไม่อยากอาหารและการดูดซึมของทางเดินอาหารลดลง


แอลกอฮอล์จะทำให้เกิดความประมาทเห็นแก่ตัว ก้าวร้าวและขี้ระแวงผู้ดื่มอาจจะเป็นโรคกามตายด้านบุตรภรรยาจะรังเกียจเขาทำให้เขาได้รับความทุกข์ใจซึ่งอาจทำให้เขาฆ่าตัวตายได้ผู้ติดสุราอาจมีอาการประสาทหลอนคิดว่าตนเองเห็นผีได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นทั้งที่ไม่มีอะไรสิ่งเหล่านี้ทำให้ศาสนาอิสลามห้ามการดื่มแอลกอฮอล์


แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์ประสาทสมองและไขสันหลังเสื่อมทำให้ผู้ดื่มเป็นโรคจิตและเป็นคนขี้ลืมในขั้นนี้ผู้ที่ติดสุราจะไม่สามารถแยกสิ่งที่จริงและไม่จริงได้ไม่สามารถรู้วันและสถานที่และคิดคำนวนบวกลบเลขง่ายๆ ไม่ได้เขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะจำเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปได้


คนที่ติดแอลกอฮอล์เวลาลุกขึ้นจะไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้และเวลาเดินจะไม่ตรงทางและจะพูดจาอ้อแอ้ไม่ชัดเจน


ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์นิ้วมือจะบวมโต (ชายที่ติดเหล้าจะมีลักษณะเปลี่ยนไปทางหญิงและหญิงที่ติดแอลกอฮอล์จะเปลี่ยนไปทางผู้ชาย) เช่น การหยุดของประจำเดือนการสูญเสียความต้องการทางเพศนี้เป็นเหตุผลที่อิสลามไม่อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


นอกจากนี้เขายังได้รับความทรมานจากการละเมอฝันร้ายจะเห็นและได้ยินที่น่ากลัวชีวิตทั้งชีวิตเขาจะเต็มไปด้วยภาพหลอนอาจจะเป็นลมหมดสติไปเมื่อไรก็ได้


แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายอ่อนแอสูญเสียความต้านทานโรคจึงทำให้เกิดโรคได้ง่ายแอลกอฮอล์มีผลเสียต่อไตระดับโปรตีนหนักหนึ่ง (อัลบูมัน) ในปัสสาวะความเป็นกรดของเลือดซึ่งจะทำให้เกิดหัวใจวาย


ผู้ติดแอลกอฮอล์จะไม่สนใจซื้ออาหารถ้าเขาซื้ออาหารเขาก็ไม่มีความรู้สึกอยากรับประทานและถ้าเขารับประทานเข้าไปเขาก็จะอาเจียนมันออกมาหรือไม่ระบบอาหารของเขาก็ไม่สามารถย่อยและดูดซึมอาหารได้ดีจึงทำให้เขาเป็นโรคขาดอาหารขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีเพราะวิตามินบีจะถูกสลายโดยการเผาผลาญแอลกอฮอล์


การขาดอาหารและขาดวิตามินบีทำให้ผู้ติดแอลกอฮอล์ได้รับความทรมานจากการอ่อนเปลี้ยของมือเท้าและขาอาจเกิดการติดเชื้อในสมองการเสื่อมของเซลล์ประสาทซึ่งทำให้เขาบ้าคลั่งเส้นประสาทตาของเขาอาจจะเกิดติดเชื้อและทำให้ตาบอดแอลกอฮอล์นี่ก็คือยาพิษอย่างหนึ่งนั่นเองทำให้อิสลามห้ามการเสพ


การติดเหล้าไวน์อาจเป็นสาเหตุของการหมดสติเกิดความดันในสมองการแตกหักของกระดูกและการมีเลือดออก


แอลกอฮอล์มิได้เพียงแต่สร้างปัญหาให้กับระบบประสาทเท่านั้นแต่จะทำให้เกิดปัญหากับระบบทางเดินอาหารและระบบวงโคจรโลหิตด้วยปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และรัฐบาลต่างๆพยายามที่จะแก้ปัญหาผู้ติดแอลกอฮอล์แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จในทางตรงข้ามอิสลามแก้ปัญหานี้โดยมีบทบัญญัติบทหนึ่งในคัมภีร์กุรอานซึ่งห้ามการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า1 ศตวรรษแล้ว เมื่อท่านศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์ยอมรับในพระองค์และคำสั่งสอนของพระองค์ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป


อิสลามห้ามการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด1400 ปีมาแล้วโดยมิได้ขอให้มีการวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงผลร้ายของแอลกอฮอล์ต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ หลักการของอิสลาม ง่ายกระจ่าง และมีเหตุผลการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ในอารยธรรมชาติอื่น ๆมีการอนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์และก็มีปัญหาเกิดขึ้นดังนั้นแพทย์นักสังคมวิทยาจึงพยายามที่จะหาทางแก้ไขแต่อิสลามไม่อนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ปัญหาจึงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย


ลิ้นของผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


ลิ้นของเขาจะปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรกซึ่งทำให้เกิดเชื้อโรคเติบโตได้อย่างอิสระและมีภาวะสมบูรณ์พอที่จะทำการแบ่งตัวได้อย่างดีโดยปกติลิ้นของผู้ดื่มแอลกอฮอล์มักจะติดเชื้อและมีสีแดงผิดปกติบางคนอาจมีจุดขาว ๆ บนลิ้นซึ่งจุดเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งได้


ปากของผู้ดื่มแอลกอฮอล์


จะมีการติดเชื้อซึ่งจะทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นได้ยิ่งไปกว่านั้นเชื้อบางชนิดจะทำอันตรายต่อคอหอยทำให้คอหอยอักเสบกลืนและหายใจลำบาก


ความอยากอาหารของผู้ดื่มแอลกอฮอล์


ผู้ดื่มแอลกอฮอล์อาจเกิดแผลหรือมะเร็งที่คอหอยได้ผู้ที่ติดมันจะอาเจียนไม่อยากอาหาร ซึม ง่วงกระวนกระวาย เมาค้างซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้นอกจากดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้นอีกระหว่างที่เกิดอาเจียนและหมดสติสิ่งที่อาเจียนออกมาอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้คือเมื่อหมดสติสิ่งที่จะอาเจียนออกมาอาจไปที่ปอดทำให้ปอดเป็นฝีหรืออักเสบซึ่งแสดงว่าแอลกอฮอล์มิใช่อะไรเลยนอกจากยาพิษที่ศาสนาอิสลามห้ามเท่านั้นเอง


ในตอนแรกแอลกอฮอล์จะกระตุ้นให้อยากอาหารแต่ต่อมาทางเดินอาหารจะอักเสบกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นการย่อยลดลงความอยากอาหารก็หมดไป


ในบางประเทศประชาชนดื่มไวน์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นเป็นตัวช่วยในการเจริญอาหารในระหว่างการกินอาหารเกือบทุกมื้อแต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิดแอลกอฮอล์ช่วยให้เจริญอาหารใน2-3 มื้อแรกเท่านั้นต่อมามันจะเป็นตัวทำลายการเจริญอาหารและระบบการย่อยอาหารตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก


กระเพาะของผู้ดื่มแอลกอฮอล์


จากกล้องส่องดูทางเดินอาหารแสดงว่าปริมาณแอลกอฮอล์แม้จำนวนเพียงเล็กน้อยก็เป็นสาเหตุของการอักเสบของพื้นผิวชั้นในของกระเพาะอาหารบางคนคิดว่าแอลกอฮอล์ปริมาณเล็กน้อยไม่มีอันตรายอะไรแต่ในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าไม่จริงนอกจากนี้คนที่ติดแอลกอฮอล์มักจะเริ่มจากการดื่มปริมาณน้อยๆ ก่อนในที่สุดเขาก็พบว่าเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังแล้วคนที่ดื่มบางโอกาสอาจจะกลายเป็นคนติดสุราโดยมีความกดดันทางจิตใจปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์หรือทางสังคมนี่แสดงถึงพระปรีชาของอัลลอฮ์ที่ได้ทรงให้อิสลามมีการห้ามดื่มแอลกอฮอล์แม้ว่าปริมาณเล็กน้อยก็ตาม


การดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆจะเป็นสาเหตุให้กระเพาะอาหารอักเสบและทำให้เกิดการตายของเซลล์ในกระเพาะทำให้กรดในกระเพาะน้อยลงการย่อยอาหารก็น้อยลงไปยิ่งไปกว่านั้นเชื้อโรคที่เดิมเคยถูกทำลายโดยกรดก็สามารถผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหารได้การลดของกรดในกระเพาะอาหารยังทำให้วิตามินบี12 ลดน้อยลง ทำให้เกิดโรคโลหิตจางการเกิดโรคกระเพาะทำให้มีอาการอื่นร่วมด้วยคือ ตัวซีดชีพจรเต้นเร็วและหัวใจวายยิ่งไปกว่านั้นอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งที่กระเพาะสิ่งที่เป็นปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะดื่มแอลกอฮอล์และนี่คือสาเหตุที่อิสลามห้ามดื่มเหล้า ศีรษะของผู้ดื่มสุราผู้ที่ติดสุรามักมีอาการปวดศีรษะทำให้เขาต้องรับประทานยาแก้ปวดจำพวกแอสไพรินมากนอกจากนี้คนที่ติดสุรามักสูบบุหรี่สิ่งเหล่านี้ผลักดันให้เขาอยู่ในสภาวะที่กระวนกระวายดังนั้นการกินแอสไพรินประกอบกับการสูบบุหรี่และการกระวนกระวายรวมทั้งพิษของแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะสรุปโดยง่ายว่าแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของการอักเสบของกระเพาะและบางทีทำให้เกิดแผลรวมทั้งมะเร็งได้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอิสลามจึงห้ามดื่มสุรา


ตับของผู้ติดสุรา


แอลกอฮอล์มีผลร้ายต่อตับด้วยใครก็ตามที่ดื่มเหล้าเป็นเวลา 10ปี จะมีปัญหาเกี่ยวกับตับจากการศึกษาจากกล้องอิเลคตรอนผู้ศึกษาสามารถตรวจพบผลของแอลกอฮอล์ต่อตับได้อย่างง่ายดายหลังจากการดื่มสุราแล้ว24 ช.ม.ในตับแอลกอฮอล์จะทำลายนิวเคลียสของตับก่อนอื่นเมื่อนิวเคลียสถูกทำลายเซลล์ก็จะตายและการเจริญแบ่งตัวของเซลล์ก็หมดไปนอกจากนี้ตับก็จะเผาผลาญจากไขมันได้ไม่หมดทำให้สะสมอยู่ในตับและรอบ ๆ ตับเมื่อสะสมมากเข้าทำให้ตับตายได้


แอลกอฮอล์ทำให้ตับไม่สามารถเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตโปรตีนและไขมันได้และไม่สามารถขับของเสียอออกจากร่างกายได้โดยเฉพาะแอมโมเนียทำให้อัตราของของเสียในกระแสเลือดสูงขึ้นสารพิษเหล่านี้จะมีผลต่อสมองและส่งผลกระทบต่ออารมณ์พฤติกรรมและสภาพจิตใจคนที่ติดเหล้าจะเขียนหนังสือลำบากมือสั่น หายใจลำบาก ท้องบวมอุณหภูมิในร่างกายจะสูงขึ้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอิสลามจึงห้ามการดื่มเหล้าทั้งที่โรคพิษสุราเรื้อรังก็มิใช่ปัญหาของผู้ที่เป็นมุสลิมอย่างแท้จริงรวมทั้งมิใช่ปัญหาในสังคมมุสลิมด้วย


บางคนคิดว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดมีอันตรายน้อยกว่าอย่างอื่นที่จริงมันก็มีอันตรายเท่าๆ กันเพราะถ้าปริมาณแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มน้อยปริมาณแก้วที่ดื่มก็มากขึ้นนี่คือเหตุผลที่อิสลามห้ามการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดแม้จะมีส่วนผสมในปริมารณที่เล็กน้อยหรือแม้แต่หยดเดียวก็ตามเพราะปัญหามักจะเกิดขึ้นดังนี้คือเริ่มจากแก้วเล็ก ๆในงานสังคมแล้วก็กลายเป็นนักดื่มและติดเหล้าในที่สุดทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดทรมานเกิดโรคสร้างปัญหาในครอบครัวภรรยาและลูกๆ


แอลกอฮอล์ทำลายสมองอย่างมากขั้นแรกแอลกอฮอล์จะทำลายผลที่มีต่อการชาของสมองโดยตรงขั้นสองสมองจำถูกทำลายเนื่องจากขาดเลือดซึ่งเป็นผลมาจากการแข็งตัวของหลอดเลือดและหัวใจล้มเหลวขั้นต่อมาก็คือสมองจะขาดออกซิเจนซึ่งเกิดร่วมกับโรคพิษสุราเรื้อรังถ้าสมองถูกทำลาย ปัญหาต่าง ๆก็จะเกิดขึ้นตามลำดับ


ดังนั้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีผลทำลายระบบต่างๆ ทั่วร่างกายแอลกอฮอล์ทำลายระบบประสาทระบบทางเดินอาหารระบบไหลเวียนโลหิตโดยตรงและถ้าสายระบบอื่น ๆโดยทางอ้อมแล้วอะไรจะเหลืออยู่ถ้าสมอง กระเพาะอาหารหัวใจถูกทำลายและชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรถ้าหากมีการติดเชื้อการอักเสบมีแผลและเกิดมะเร็งขึ้นทุกแห่งของร่างกายชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรตัวเขาสูญเสียความทรงจำความอยากอาหาร เสียสุขภาพจิตและมีชีวิตอยู่อย่างเพ้อคลั่งประสาทหลอน




หลังจากที่ได้พูดเกี่ยวกับโทษของการดื่มแอลกอฮอล์แล้วผมก็จะขอแยกประเด็นเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่ใช้เป็นยาเช็ดแผล, น้ำหอม, และผลิตภัณฑ์อื่นๆ


ก่อนอื่น ผมใคร่จะขอกล่าวถึงประเภทของแอลกอฮอร์ดังนี้นะครับ


อนึ่งแอลกอฮอร์ที่เป็นที่รู้จักกันดีนั้นมี 2 ประเภท คือ


1. เมธิลแอลกอฮอล์ ซึ่งได้มาจากการกลั่นสลายไม้บางชนิด เรียกว่าเป็นของเหลว ไม่มีสี ติดไฟได้ดี มีกลิ่นเฉพาะตัว เป็นพิษต่อร่างกายถ้าได้สูดดมหรือรับประทาน ประโยชน์ใช้เป็นเชื้อเพลิงและเป็นตัวทำละลาย ใช้เป็นสารป้องกันการแข็งตัวของน้ำในหม้อน้ำรถยนต์


2. เอธิลแอลกอฮอล์ ซึ่งได้มาจากการหมักแป้ง และน้ำตาลหรือผลไม้ โดยมียีสต์เป็นตัวเร่ง ซึ่งเรียกว่าการหมัก เป็นของเหลว มีกลิ่นหอม ติดไฟให้ความร้อนสูงไม่มีเขม่า ละลายน้ำได้ดี เป็นตัวทำละลาย ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรค ทำสุรา


ประเภทแรกจะใช้เกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวข้องสิ่งบริโภค เช่น นำมาผสมกับน้ำหอม เป็นต้น ส่วนประเภทที่สองนั้น จะเป็นแอลกอฮอล์ชนิดของเหล้า จะใช้กับสิ่งที่บริโภคได้ เช่นนำมาผสมกับ น้ำยาบ้วนปาก ยาฆ่าเชื้อ ผสมกับยาบางชนิด เช่นยาแก้ไอ ยาน้ำแก้ท้องเสีย เป็นต้น


ผมขอชี้แจงโดยแยกประเด็นดังนี้ครับ


ประเด็นที่หนึ่ง : หากน้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมจากแอลกอฮอล์ประเภท เมธิล นั้น ถือว่าอนุญาตให้นำมาใช้ได้ เพราะไม่ใช่นายิสแต่ประการใด ตรงนี้ถือว่าไม่มีปัญหา


ประเด็นที่สอง : เอธิลแอลกอฮอล์ที่ผสมกับ ยาบางชนิดในปริมาณที่น้อยนั้น เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ยาแก้ไอ และยาน้ำแก้ท้องเสีย เป็นต้น ถือว่ามะอัฟ(ผ่อนปรน)ให้รับประทานและนำมาเช็ดแผลเพื่อฆ่าเชื้อโรคครับ เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ จะไปหายาอื่น ๆ ที่ไม่มีส่วนผสมก็จะลำบาก แต่ถ้าหากมียาอื่น ๆ ที่ไม่มีส่วนผสมแอลกอฮอร์ ก็ถือว่าจำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าวนั้นนะครับ ส่วนน้ำยาป้วนปากที่ผสมกับแอลกอฮอล์ชนิดเหล้านั้น ถือว่าไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องใช้ แต่ถ้าหากอยู่ในช่วงที่ช่วงปากติดเชื้อ ก็ถือว่าอนุญาตให้นำมาใช้ได้ตามที่จำเป็นเท่านั้น แล้วก็บ้วนน้ำยานั้นทิ้งด้วยน้ำสะอาด


ประเด็นที่สาม : ในกรณีของน้ำผลไม้บรรจุกล่อง เช่นน้ำส้ม น้ำสัปรด ที่สามารถเก็บไว้ได้นาน แล้วก็เกิดปฏิกิริยาเกิดเป็นแอลกอฮอล์มานั้น ถือว่าอนุญาตให้ดื่มได้ เพราะว่าหากเกิดแอลกอฮอล์ขึ้นจริง ก็อยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ถือว่ามะอัฟ (ผ่อนปรนให้รับประทานได้) เพราะเป็นเรื่องที่ลำบากที่เราจะไปตรวจสอบ แต่ถ้าหากเกิดแอลกอฮอร์ขึ้นมาในปริมาณที่มากหรือดื่มแล้วทำให้เมา ถือว่าฮะรอมอย่างเด็ดขาดครับ


ประเด็นที่สี่ : ในกรณีของน้ำหอมที่ผสมกับแอลกอฮอล์ประเภทเอธิล ที่เป็นแอลกอฮอล์ประเภทเหล้านั้น เท่าที่ศึกษาดูแล้ว อุลามาอ์ในปัจจุบันต่างวินิฉัยกัน ผลออกมาก็ มี 2 ทัศนะ


ทัศนะแรก ...... กล่าวว่านำมาใช้ไม่ได้เพราะน้ำหอมนั้นเปื้อนนะยิส


ทัศนะที่สอง ......... กล่าวว่านำมาใช้ได้เพราะว่ามีความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ก็ต้องผสมในปริมาณที่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่บอกว่าฮะรอมหรือไม่ฮะรอมนั้น จึงเป็นเรื่องที่คาดการณ์ คือ ไม่เด็ดขาด ดังนั้น ผมก็ขอให้พี่น้องเลือกเอาตามสะดวกครับ ท่านใดที่สะดวกและมีน้ำหอมแบบไม่มีแอลกอฮอล์ ก็ถือว่าอัลฮัมดุลิลลาฮ์ แต่พี่น้องท่านใดสะดวกหาซื้อน้ำหอมที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ชนิดเอธิลนี้ ก็ผ่อนปรนให้ท่านเลือกทัศนะที่อนุญาตให้นำมาใช้ได้ และการขัดแย้งในเรื่องทัศนะของอุลามาอ์ถือว่าเป็นความเมตตา(เราะฮ์มะฮ์) ก็เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่องนี้แหละครับ

0 ความคิดเห็น: