สิทธิของสตรีในฐานะบุตรสาว (1)
อับดุรเราะห์มาน บิน อับดุลกะรีม อัช-ชีหะฮ
สิทธิในการมีชีวิต
พระองค์อัลลอฮฺได้ออกคําสั่งให้พ่อเเม่ปกป้อง เเละรักษาชีวิตของลูกๆไว้อย่างดี เเม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม เเละได้ประกาศว่าการฆ่าพวกเขา คือการอธรรมที่ใหญ่หลวง
อัลลอฮฺได้ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
"และพวกเจ้าจงอย่าฆ่าลูกๆ ของพวกเจ้าเพราะกลัวความยากจน เราให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และแก่พวกเจ้าโดยเฉพาะ
(อัลกุรอาน บทอัลอันอาม 151)
อิสลามถือว่า การเลี้ยงดูเเละออกค่าใช้จ่ายเพื่อพวกเขาทั้งชายหญิงเป็นหน้าที่ที่บังคับให้ปฏิบัติ เป็นการประกันสิทธิที่พวกเขาสมควรได้รับตั้งเเต่ที่พวกเขายังอยู่ในลักษณะทารกในท้องเเม่ของพวกเขา
ความว่า “และหากพวกนางตั้งครรภ์ก็จงเลี้ยงดูพวกนาง จนกว่าพวกนางจะคลอดทารกที่อยู่ในครรภ์ของพวกนาง”
สิทธิในการให้นมเเก่เด็กทารกหญิง
พระองค์อัลลอฮฺได้สั่งบังคับให้กระทําดีต่อบรรดาลูกๆ ทั้งหลายอย่างเท่าเทียมกันทั้งชายเเละหญิง เเละเอาใจใส่พวกเขาในเรื่องที่ควรเเก่การดํารงชีวิตของพวกเขา ตลอดจนตระเตรียมสิ่งต่างๆ ที่มีผลต่อการมีชีวิตของพวกเขา เหล่านี้คือสิ่งที่บรรดาลูกๆ ควรได้รับจากพ่อในทัศนะอิสลาม
อัลลอฮฺได้ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน
ความว่า “และมารดาทั้งหลายนั้น จะให้นมแก่ลูกๆ ของนางภายในสองปีเต็ม สําหรับผู้ที่ต้องการจะให้ครบถ้วนในการให้นม
(อัลกุรอาน บท อัลบะเกาะเราะฮฺ 233)
สิทธิในการถูกเลี้ยงดูเเละสั่งสอน
บทบัญญัติเเห่งอิสลามได้สั่งให้บรรดาพ่อเเม่เน้นหนัก เเละเอาใจใส่บรรดาลูกๆ ทั้งชายหญิงด้านการเลี้ยงดูในทุกด้านอาทิ ด้านร่างกาย สติปัญญา เเละด้านศาสนกิจ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
“พอเพียงกับการได้บาปมากพอสําหรับใครสักคนที่ปล่อยปละละเลยบุคคลที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของเขา”
(เศาะฮีหฺ อิบนิหิบบาน 10/51 ลําดับที่ 4240)
“แต่ละคนในหมู่พวกท่านคือผู้ดูแลและเป็นผู้รับผิดชอบต่อคนที่อยู่ภายใต้การดูแล
(เศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์ 1/ 304 ลําดับที่ 853)
การสรรหาคําอันไพเราะ เเละนํามาใช้ในการตั้งชื่อพวกเขาถือว่าเป็นสิทธิอย่างหนึ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ ผู้เป็นเเม่สมควรได้รับสิทธิในการเลี้ยงดูลูกๆ มากว่าผู้เป็นพ่อในกรณีที่ทั้งสองมีเรื่องบาดหมางระหว่างกันหรือเกิดกรณีการหย่าร้างกัน ทั้งนี้เพราะอิสลามเห็นว่า ผู้เป็นแม่คือผู้ที่เปี่ยมเมตตา เเละปรานีต่อลูกๆ มากกว่าผู้เป็นพ่อ
เนื่องจากหะดีษหนึ่งซึ่งรายงานโดย อัมรฺ บิน ชุอัยบฺ ว่า มีสตรีท่านหนึ่งกล่าวว่า :
"โอ้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ เเท้จริงแล้วลูกฉันคนนี้ ฉันได้ตั้งท้องเเก่เขาด้วยนํ้านมจากหน้าอกของฉันเอง ฉันเลี้ยงดูเขาในบ้านของฉันเอง แท้จริงเเล้วพ่อของเขาได้หย่าฉัน เเละเขาต้องการเเย่งเขาจากฉันไป
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ตอบว่า “เจ้ามีสิทธิในตัวเขาตราบใดที่เจ้ายังไม่เเต่งงานใหม่”
(สุนัน อบีดาวูด 2/283 ลําดับที่ 2276)

ผู้แปล | อิบนุรอมลี ยูนุส / อิบรอฮีม มุฮัมมัด
สิทธิของสตรีในฐานะบุตรสาว (2)
อับดุรเราะห์มาน บิน อับดุลกะรีม อัช-ชีหะฮ
สิทธิของเธอในการได้รับความรัก ความห่วงใย เเละความเมตตา
พวกเธอต้องการสิ่งเหล่านี้ดังที่พวกเธอต้องการอาหารเเละเครื่องดื่ม เพราะสิ่งดังกล่าวมันช่างมีผลต่อสภาพจิตใจ เเละกริยามารยาทของพวกเธอยิ่ง เพราะอิสลามคือศาสนาเเห่งความเมตตา ปรานี ห่วงใย เเละเมตตาต่อทุกคนแม้จะเป็นคนห่างไกลที่ไม่ใช่ญาติสนิท เเล้วเหตุใดเล่าจะไม่ห่วงใยต่อญาติผู้ใกล้ชิดด้วย
อบู ฮุร็อยเราะฮฺ ได้กล่าวว่า :
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ได้จูบหะซัน บิน อะลีย์ ในขณะที่ท่านอยู่พร้อมหน้ากับ อัล-อักเราะอฺ บิน หาบิส อัต-ตะมีมีย์ ที่กําลังนั่งอยู่
อัล-อักเราะอฺ กล่าวว่ า : ฉันมีลูกสิบคน ฉันไม่เคยจูบพวกเขาเลย !!!!
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ มองไปยังตัวเขาเเล้วตอบว่า “ผู้ใดไม่เมตตา เขาจะไม่ได้รับความเมตตาด้วย”
(เศาะฮีหฺอัลบุคอรีย์ 5/ 2235 ลําดับที่ 5651)
สิทธิของสตรีในด้านการศึกษา
อิสลามบังคับใช้ให้มุสลิมทุกคนทั้งชายหญิงทําการศึกษาเเละเเสวงหาความรู้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวความว่า
“การเเสวงหาความรู้นั้นเป็นสิ่งบังคับเเก่มุสลิมทุกคน”
(สุนัน อิบนิมาญะฮฺ 1/81 ลําดับที่ 224)
อิสลามมีทัศนะว่า การให้ความรู้เเก่ลูกหญิงเป็นการเฉพาะ คือสาเหตุของการได้รับผลบุญ เเละการตอบเเทนทวีคูณ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวซึ่งความว่า
“ชายคนใดที่มีทาสหญิงเเล้วเขาได้ให้ความรู้เเก่เธอ เเละอบรมสั่งสอนเธออย่างดี
เเล้วปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ เเละเเต่งงานกับเธอ สําหรับเขาคือสองผลบุญ”
(เศาะฮีหฺอัลบุคอรีย์ 5/1955 ลําดับที่ 4795)
สิทธิของเธอด้านความเท่าเทียมกัน
กฎบัญญัติเเห่งอิสลามได้บังคับให้ปฏิบัติต่อบรรดาลูกอย่างเท่าเทียมเเละ ยุติธรรมในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการดําเนินชีวิตประจําวันที่เปี่ยมเมตตา หรือการให้ความรัก ความห่วงใยเเห่งบิดามารดาที่สมควรให้เเก่ลูกๆ ทั้งชายหญิง อัลลอฮฺได้ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน
ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรง ใช้ให้รักษาความยุติธรรม ทําดีการบริจาคแก่ญาติใกล้ชิด ให้ละเว้นจากการทําลามก
การชั่วช้า และการอธรรม พระองค์ทรงตักเตือนพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจักได้รําลึก”
(อัลกุรอาน บท อันนะห์ลุ 90)
หากความยุติธรรม เเละความเสมอภาคไม่ใช่ เรื่องบังคับด้วยบทบัญญัติแห่งอัลกุรอาน และวจนะท่านศาสนทูตมุหัมมัดเเล้ว แน่นอนบรรดาผู้หญิงสมควรได้รับการเชิดชูเป็นพิเศษมากกว่าบรรดาชายอีกด้วย ซํ้า ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวซึ่งความว่า
“พวกเจ้าจงมอบให้เเก่ลูกๆ ของพวกเจ้าอย่างเท่าเทียมกัน หากฉันมีทางเลือกให้บางคนดีเด่นกว่าบางคน เเน่นอนยิ่งฉันจะเลือกบรรดาหญิงให้ดีเด่นกว่าคนอื่นๆ”
(สุนัน อัลบัยฮะกีย์ อัลกุบรอ 6/177 ลําดับที่ 11780)
ด้วยเหตุเช่นนี้เเล้ว พวกที่กล่าวหาว่าอิสลามได้กลืนสิทธิของสตรีจะมีท่าทีและกล่าวหาว่าอย่างไรต่อมันอีกเล่า ??
สิทธิของเธอในการเลือกสามี
อิสลามเคารพสิทธิสตรีในเรื่องของการแต่งงาน โดยถือว่าการตัดสินใจของเธอคือส่วนหนึ่งในเงื่อนไขแห่งความถูกต้องของการ แต่งงาน เธอสามารถใช้สิทธิในการปฏิเสธ หรือตอบรับใครสักคนที่มาสู่ขอเธอได้ ทั้งนี้เนื่องจากคํากล่าวของท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ความว่า
"หญิงหม้ายจะไม่ถูกแต่งงานจนกว่าจะมีการร้องขอจากเธอ และหญิงสาวไม่ถูกแต่งงานจนกว่าจะขอได้อนุญาตจากเธอก่อน”
เศาะหาบะฮฺกล่าวว่า การอนุญาตจากเธอเป็นเช่นไรเล่ า ?
ท่านเราะสูลกล่าวว่า “คือ การที่เธอเงียบเฉย"
(เศาะฮีหฺ อัลบุคอรีย์ 5/1974 ลําดับที่ 4843)
ดังนั้นผู้เป็นบิดาหรือใครก็ตามซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลเธอ ย่อมไม่มีสิทธิบังคับเธอให้แต่งงานกับชายที่เธอไม่ประสงค์ และจากวจนะของท่านศาสนทูตซึ่งรายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮฺ ว่า
มีสตรีท่านหนึ่งมาหาท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ
เธอกล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ แท้จริงแล้วพ่อของฉันสั่งให้ฉันแต่งงานกับลูกของพี่ชายเขาเพื่อยกฐานะของเขาเพราะการแต่งงานของฉัน
ดังนั้น ท่านจึงมอบเรื่องนี้ให้กับเธอ (ในการตัดสินใจ)
แล้วเธอกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว ฉันได้ยินยอมสิ่งที่พ่อฉันได้ทําไป แต่ฉันเพียงต้องการให้สตรีทั้งหลายรับรู้ว่าบรรดาพ่อไม่มีสิทธิในเรื่องนี้แต่อย่างใด”
(มุสนัด อิมาม อะห์มัด 6/ 136 ลําดับที่ 25087)
ผู้แปล | อิบนุรอมลี ยูนุส / อิบรอฮีม มุฮัมมัด
สิทธิของสตรีในฐานะบุตรสาว (3)
อับดุรเราะห์มาน บิน อับดุลกะรีม อัช-ชีหะฮ
คําสอนของท่านนบีมุหัมมัดชี้ให้เห็นว่าอิสลามได้ให้ความสําคัญกับเรื่องของ สตรีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเคารพเกียรติของเธอ การกระทำดีต่อเธอ และการสนองตอบความต้องการของเธอในทุกด้าน ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวว่า
"ผู้ใดมีลูกสาวสามคน หรือพี่สาวสามคน มีลูกสาวสองคนหรือพี่สาวสองคน แล้วเขาได้กระทําดีต่อพวกเขาอย่างดี
และยําเกรงอัลลอฮฺ ในสิ่่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา แน่นอนเขาจะต้องได้เข้าสรวงสวรรค์”
(เศาะฮีหฺ อิบนิหิบบาน 2/ 189 ลําดับที่ 446)
ในทัศนะอิสลามถือว่า การให้ความสนใจต่อบุตรสาวพร้อมทั้งการอบรมเลี้ยงดู และกระทําดีต่อพวกเธอ คือหนทางหนึ่งที่นําไปสู่การเข้าสวรรค์ นับเป็นแรงผลักดันให้ผู้ปกครองเอาใจใส่ ดูแลพวกเธอเป็นอย่างดีเพื่อหวังในการตอบแทนจากพระองค์อัลลอฮฺ
รายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮฺ กล่าวว่า :
"ผู้หญิง ผู้ยากจนคนหนึ่งได้มาหาฉัน ในขณะที่นางอุ้มลูกของนางสองคน แล้วฉันก็ได้แบ่งลูกอินทผลัมให้เธอสามเม็ด นางแบ่งให้ลูกสาวคนละหนึ่งเม็ด และนางหยิบที่เหลือหนึ่งเม็ดใส่ปากเพื่อกิน พลันลูกสาวสองคนต่างร้องขอเพื่อกิน เธอจึงแบ่งลูกอินทผลัมที่กําลังจะกินออกเป็นสองส่วนและแบ่งให้ลูกสาวสองคน
เหตุการณ์ดัง กล่าวได้สร้างความประทับใจให้ฉันมาก ฉันเลยนําพฤติกรรมของนางเช่นนี้ไปเล่าให้กับท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ฟัง ท่านจึงกล่าวว่า
“แท้ จิรงแล้วพระองค์อัลลอฮฺจะทรงมอบสรวงสวรรค์แก่นางเพราะพฤติกรรมอันนี้หรือ พระองค์จะทรงปลดปล่อยนางเพราะพฤติกรรมอันนี้ให้รอดพ้นจากไฟนรก”
(เศาะฮีหฺ มุสลิม 4/ 2027 ลําดับที่ 2630)
บทบัญญัติแห่งอิสลามได้สั่งใช้ให้ปฏิบัติต่อลูกๆ ทั้งชายและหญิงด้วยความยุติธรรมเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านจิตใจหรือด้านวัตถุก็ตาม ดังนั้นการลําเอียงในเรื่องใดก็ตามยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อนุญาต
รายงานโดย อันนุอฺมาน บิน บะชีร กล่าวว่า :
พ่อของฉันได้มอบให้ ฉันซึ่งส่วนหนึ่งของทรัพย์สมบัติของท่าน แม่ฉันฮุมเราะอฺ บินติ เราะวาหะฮฺ กล่าวว่า ฉันไม่ยอมนอกจากว่าท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺต้องเป็นสักขีพยานในเรื่องนี้ด้วย พ่อของฉันได้ไปหาท่านศาสนทูตเพื่อให้ท่านร่วมเป็นสักขีพยานในสิ่งที่เขาได้ มอบมันให้ฉัน
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวแก่พ่อฉันว่า “เจ้าได้กระทําแบบนี้กับลูกๆ เจ้าทุกคนหรือไม่?”
พ่อฉันตอบว่า ไม่
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ตอบว่า “เจ้าจงยําเกรงอัลลอฮฺ และจงยุติธรรมระหว่างลูกๆของเจ้า” เมื่อพ่อของฉันกลับถึงบ้านแล้วท่านรีบขอสิ่งนั้นกลับคืนทันที
(เศาะฮีหฺ มุสลิม 3/ 1242 ลําดับที่ 1623)
ยุติธรรมและความเสมอภาคมิได้เฉพาะเจาะจงในเรื่องของ ปัจจัยภายนอกเท่านั้น ทว่ารวมไปถึงข้อปลีกย่อยง่ายๆ ที่ส่งผลต่อความรู้สึก ซึ่งใครหลายคนอาจไม่เคยตระหนักในเรื่องนี้นัก
รายงานโดยอะนัส ว่า
มีชายคนหนึ่งอยู่กับ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ พลันได้มีลูกชายเขาเข้ามาหา เขาจูบลูกเขาแล้วสั่งให้เขานั่งบนขาอ่อนเขา ทันทีมีลูกสาวของเขาเข้ามาหา และเขาก็สั่งให้ลูกสาวของเขานั่งอยู่ตรงหน้าเขา
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวว่า “เจ้าน่าจะให้ความเท่าเทียมกันระหว่างทั้งสอง”
(รายงานโดยอัลบัซซาร ในหนังสือ กะซฺฟุลอัซตาร 1 / 131 ลําดับที่ 211)
ณ โอกาสนี้ ที่เราได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการเน้นหนักของอิสลามต่อบรรดาลูกๆ ก็สมควรอย่างยิ่งในการที่เราจะกล่าวถึงเด็กกําพร้าด้วย เพราะการเป็นเด็กกําพร้านั้นมีผลด้านจิตใจต่อการมีชีวิตของเด็กมาก ซึ่งในบางครั้งความรู้สึกที่ว่านี้อาจนําเด็กๆ ไปสู่ความเสื่อมเสียหรือเอนเอียงไปในสิ่งที่ไม่ดี ยิ่งถ้าสังคมรอบด้านของพวกเขาคือสังคมที่ไม่เอาใจใส่สิทธิต่างๆ ที่พวกเขาสมควรได้รับ ซึ่งสังคมที่ว่านี้อาจไม่รับผิดชอบต่อพวกเขาตามสมควร หรืออาจจะไม่เหลียวแลพวกเขาด้วยความเมตตาและห่วงใย
อิสลามให้ความสําคัญต่อเด็กกําพร้าทั้งชายและหญิง โดยมีทัศนะว่าการให้ความสําคัญแก่พวกเขาพร้อมทั้งเอาใจใส่ พวกเขาอย่างดี ถือว่าเป็นข้อบังคับสําหรับญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิดพวกเขาให้ปฏิบัติตาม ถ้าพวกเขาไม่มีญาติพี่น้องก็เป็นหน้าที่ของรัฐอิสลามที่ต้องดูแล และเลี้ยงดูพวกเขาสําหรับคนที่ลักขโมย และกอบโกยเงินทองของเด็กกําพร้านั้นเขาจะได้รับโทษมหันต์อย่างแน่นอน
อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า
“แท้จริงบรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของบรรดาเด็กกําพร้าด้วยความอธรรมนั้น
แท้จริงพวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาต่างหาก และพวกเขาก็จะเข้าไปสู่เปลวเพลิง"
(อัลกุรอานบท อัน-นิสาอ์/ 10)
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวความว่า
"แท้จริงแล้วฉันอยากให้มีความลําบากและบาปแก่คนที่ลิดรอนสิทธิผู้อ่อนแอ สองพวกคือเด็กกําพร้า และสตรี"
(อัลมุสตัดร็อก อะลัศเศาะฮีฮัยนฺ 1/ 131 เลขที่ 211)
พระองค์อัลลอฮฺได้เตือนบ่าวให้พึงระวัง และห้ามกดขี่เด็กกําพร้า อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน
ความว่า "ดังนั้นส่วนเด็กกําพร้าเจ้าอย่าข่มขี่"
(อัฎฎหุา / 9)
บทบัญญัติแห่งอิสลามได้สนับสนุนให้เลี้ยงเด็กกําพร้า และทําดีต่อเขา ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวว่า:
"ฉันและผู้ให้ความอนุเคราะห์เด็กกําพร้าอยู่ในสรวงสวรรค์เช่นนี้
และท่านได้ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นพร้อมแยกทั้งสองนิ้วให้ห่างกันนิดเดียว"
(เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ 5/ 2032 หมายเลข 4998)
นอกจากนี้ อิสลามส่งเสริมให้มอบความรักและความห่วงใยแก่เด็กกําพร้า ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวว่า:
"ผู้ใดลูบหัวเด็กกําพร้าซึ่งเขาไม่ลูบมันนอกจากเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น
สําหรับเขาในทุกเส้นผมที่เขาลูบผ่านด้วยมือเขาคือผลบุญอันดีงาม
และผู้ใดทําดีต่อเด็กกําพร้าหญิงหรือชายที่อาศัยอยู่กับเขา แน่นอนฉันและเขาจะอยู่ในสรวงสวรรค์ด้วยกันเหมือนสองนิ้วนี้
และท่านได้แยกสองนิ้วออกห่างเล็กน้อย คือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง"
(มุสนัดอิมามอะหฺมัด 5/ 250 หมายเลข 22207)
นอกจากนี้อิสลามยังให้ความสําคัญแก่เด็กที่ถูกทอดทิ้งทั้งชายและหญิงอย่างเท่าเทียมกัน หมายถึงเด็กที่ถูกทอดทิ้งไม่ทราบเบาะแสเกี่ยวกับพ่อของเขา ดังนั้นเขาย่อมมีสิทธิในการได้รับการดูแลจากพี่น้องมุสลิมและประเทศชาติในระบอบการปกครองแบบอิสลาม ฐานะของเขาไม่แตกต่างจากฐานะของเด็กกําพร้าเลย ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กล่าวว่า
“การทําความดีต่อทุกสิ่งที่มีชีวิตนั้นมีผลบุญ"
(เศาะฮีหฺอัลบุคอรีย์ 2/ 870 หมายเลข 2334)
การให้ความสําคัญแก่บุคคลสองกลุ่มที่ว่านี้ ถือว่าเราได้สร้างบุคคลสองประเภทในฐานะพลเมืองที่ดีสู่สังคม เพื่อให้เขาทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ของเขาทั้งสองอย่างดี และให้เขาทั้งสองได้ใช้ชีวิตในสังคมอย่างเท่าเทียมกันเหมือนเพื่อนมนุษย์ ทั่วไป
ผู้แปล | อิบนุรอมลี ยูนุส / อิบรอฮีม มุฮัมมัด
0 ความคิดเห็น: